พรายสังคีต
ดวงจิตปกรณ์ต้องการรู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อวันในอดีตนั้นเป็นใครจึงยังตามหาต่อไปไม่กลับเข้าร่างทั้งที่รู้ว่าอิงอรเฝ้ารออยู่อย่างเป็นห่วง...
ดวงจิตปกรณ์ทะลุผ่านไปในป่าโปร่งที่ไม่คุ้นเคย เห็นหลังผู้หญิงเดินเข้าไปในดงไม้ ปกรณ์เรียกอย่างดีใจ ตามหญิงคนนั้นไปจนถึงริมธาร แต่พอหญิงคนนั้นหันมากลับกลายเป็นหน้าผีดุร้ายและหลอกหลอนจนปกรณ์ตกน้ำถูกผีพรายรุมกันเข้าทึ้งดึงดิ่งสู่ก้นลำธารที่มืดดำอย่างเร็ว
พอปกรณ์หายตกใจก็ทำสมาธิแผ่เมตตา ใต้ลำธารที่มืดดำกลับสว่างไสว วิญญาณสัมภเวสีได้รับส่วนบุญก็คลายออกจากปกรณ์หายไป ร่างปกรณ์ทะลึ่งพรวดขึ้นเหนือน้ำอย่างเร็วมองไปไม่เห็นวิญญาณสัมภเวสีเหลืออยู่ก็โล่งใจ
ดวงจิตปกรณ์ยังตามหาวันจนมาถึงหมู่บ้านที่เคยอยู่กันในอดีต จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า...วันเดินมายกมือไหว้เทิด เทิดเอาสมุดข่อยในมือซ่อนไว้ข้างหลัง ปกรณ์จำได้ว่าตรงนี้แหละที่ตนเจอวันกับครูเทิด จึงเดินไปตามทางที่มืดมิดอย่างมีความหวังว่าจะได้เจอวันอีกครั้ง...
ยชญ์ไปส่งเมที่อพาร์ตเมนต์ เมนั่งเงียบมาตลอดทาง เขาถามว่าเธอคิดอะไรอยู่ท่าทางเหมือนคิดอยู่ตลอดเวลา เมบอกว่าตนไม่อยากคิดแต่มันหยุดคิดไม่ได้ ถามว่า
“เราควรจะแข่งต่อไปไหม?”
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
“ฉันก็แค่ไม่แน่ใจ ทุกคนดูท่าทางไม่อยากเล่นเพลงท่วมธรณีอีกแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะซ้อมเพลงนี้ได้อีกหรือเปล่า มันสับสน มันยุ่งเหยิงไปหมด ฉันรู้สึกว่าพวกเราคงไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ด้วยสภาพแบบนี้หรอก...ฉันไม่รู้ว่าจะแข่งไปเพื่อใคร ทั้งครูมาโนชทั้งพี่โฉมไม่มีใครอยู่ดูความสำเร็จของฉันเลยซักคน”
ยชญ์เอื้อมจับมือเมมาดูทีละนิ้วที่ด้านจากการซ้อมซอ พูดนิ่งๆว่าเธอลืมนึกถึงใครไปหรือเปล่า
เมงง เขาบอกว่ายังมีใครอีกคนที่รอดูความสำเร็จของเธออยู่นั่นคือตัวเธอเอง คำพูดและท่าทีอ่อนโยนของยชญ์ทำให้เมได้คิด ทั้งสองมองตากันอย่างลืมตัว พอเมได้สติก็ดึงมือออกเบาๆ เอ่ยขอบใจเขา
เมื่อยชญ์ส่งเมถึงที่พักแล้วเมเอ่ยอย่างสนิทปากว่า “ขอบคุณนะพี่ยชญ์”
ขณะเมเดินจะถึงตัวตึกบรรยากาศเงียบสงัด เมรู้สึกว่ามีเสียงคนเดินตาม พอหันขวับดูก็ตกใจเมื่อเห็นยชญ์เดินตามมา ยชญ์บอกว่าเธอลืมโทรศัพท์ไว้ในรถเลยเอามาให้ เห็นเมตกใจมากเลยเดินไปส่งถึงหน้าห้อง เมบอกว่า
“ไม่ต้องหรอก ที่นี่ไม่เคยมีอะไร”
“ไม่เคยมีอะไร ก็ไม่ใช่ว่าจะมีไม่ได้...ไปเถอะ”
ยชญ์เดินนำไป เมรีบตาม และที่มุมหนึ่งเทิดยืนมองตามทั้งสองไปนิ่งๆแต่น่ากลัว
ooooooo
เมกลับเข้าห้องพบแพรกับมิ่งนั่งรออยู่อย่างใจจดจ่อ แพรถามทันทีว่าตำรวจเขาว่ายังไง รู้แล้วใช่ไหมพี่โฉมตายเพราะอะไร เมบอกว่าต้องรอผลละเอียดจากนิติเวชก่อน
เมเห็นแพรหน้าซีดๆ ถามว่าเป็นอะไร แพรส่ายหน้าไม่ยอมพูด มิ่งเลยพูดแทนว่า
“แกรู้เรื่องกลอนเลือดที่ประตูห้องซ้อมหรือเปล่า”
“มันต้องไม่ใช่ฝีมือคน” แพรพึมพำ “ฉันบอกพวกแกแล้วว่าเพลงท่วมธรณีต้องมีอาถรรพณ์อะไรสักอย่างแต่ไม่มีใครเชื่อฉันเลย พี่โฉมตายเพราะอาถรรพณ์ของเพลงแน่ๆ”
เมกับมิ่งมองหน้ากัน แพรบอกว่าตนขอถอนตัว บอกว่าเมกับมิ่งก็เหมือนกัน ถ้าเรายังขืนซ้อมเพลงท่วมธรณีต่อพวกเราก็ต้องตายเป็นรายต่อไปแน่ เมบอกให้ใจเย็นๆอย่าเพิ่งมโนไปเอง การตายของพี่โฉมอาจไม่เกี่ยวกับเพลงท่วมธรณีก็ได้
แพรฟังแล้วฉุนบอกเมว่าเลิกพูดอะไรที่ตรงข้ามกับความคิดของตัวเองเถอะ ตนรู้ว่าเมคิดเหมือนตน บอกเมให้พูดออกมาสิว่าคิดเหมือนตน พูดสิ...พูด!
มิ่งถามว่าแพรเป็นอะไรไปกดดันเมทำไม เมบอกว่าไม่เป็นไรตนเข้าใจ แล้วพูดกับแพรอย่างเข้าใจว่า
“ฉันรู้ว่าแกกำลังเสียใจเรื่องพี่โฉม เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องการประกวดกันตอนนี้เลย”
“ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน ฉันก็ยังยืนยันคำเดิม ฉันจะไม่ยอมร้องเพลงท่วมธรณีอีกแล้ว”