ตอนที่ 15
วศินไม่พูดอะไรเดินออกไปหงอยๆ อินทัช มองตามอย่างหนักใจ
ooooooo
หนูดีมาพักฟื้นหลายวันแล้วอาการดีขึ้นเป็นลำดับ วันนี้หลังจากภัสสรเช็ดตัวให้เสร็จก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้ววศินก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารเช้า
ภัสสรจะไปรับ วศินบอกว่าไม่เป็นไร ให้คุณน้าไปทานข้าวดีกว่าเดี๋ยวตนจัดการเอง ภัสสรจึงออกไป
วศินวางถาดอาหารที่โต๊ะบอกให้หนูดีทานเลย ทำท่าจะป้อนให้ หนูดีบอกว่าตนทานเองได้ แต่พอเอื้อมไปหยิบช้อนก็เจ็บแผลจี๊ด
“เห็นไหม...ให้ผมป้อนดีกว่า” ว่าแล้วก็หยิบช้อนตักอาหารป้อนให้ หนูดียอมทานอย่างว่าง่าย...
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า นับวันความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวที่มีความรู้สึกดีๆต่อกันก็สนิทสนมกระชับแน่นแฟ้น วศินดูแลหนูดีอย่างใกล้ชิด แล้ววันนี้วศินก็ทำเซอร์ไพรส์เมื่อยกถาดอาหารเข้ามาบอกว่า
“สาคูไส้หมูของโปรดของหนูดีครับ ผมทำเองเลยนะ กินเลยครับ” แล้วตักป้อนให้ หนูดีกินอย่างสนิทใจ
“พี่วศินก็กินด้วยสิคะ หนูดีกินคนเดียวอ้วนแย่”
“ได้ครับ” วศินหยิบสาคูไส้หมูใส่ปากเคี้ยวอย่างมีความสุข หนูดีมองเขาเหมือนจะจำภาพนั้นไว้ บอกว่า
“หนูดีอาการดีขึ้นเยอะมากแล้ว มะรืนนี้หนูดีจะกลับบ้านแล้วค่ะ”
วศินเศร้า ถามว่าแล้วเรื่องของเราล่ะ?
“ทุกอย่างเหมือนเดิมค่ะ เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิมนะคะ”
วศินอึ้ง เงียบสนิท...
อินทัชปรารภกับวินพัตราขณะเดินคุยกันที่ไร่ชาว่าตนสงสารพี่วศินแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง บ่นๆว่า
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมคุณหนูดีต้องคิดถึงแต่ความคิดคนอื่นมากเกินไปแบบนี้”
วินพัตราบอกว่าคงไม่ใช่แค่นั้นหรอก ตนคิดว่าหนูดีต้องคิดอะไรมากกว่านั้นแน่ อินทัชมองหน้าถาม
“อะไรเหรอครับ”
“น้อยก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าเหตุผลของคุณหนูดีคืออะไร แต่เซ้นส์น้อยมันบอกว่าคนอย่างคุณหนูดีไม่คิดแค่เรื่องผิวเผินแบบนั้นแน่”
ความจริงคือ...หนูดีคุยกับภัสสรในห้องพักบอกแม่ว่าการหมั้นของตนคือการตอบแทนบุญคุณ และเป็นการรักษาคำพูดที่เคยมีให้ไว้ นั่นคือ...
ในอดีต...หนูดีถูกคนร้ายฉุดลากจะไปยัดใส่รถตู้ โชคดีที่อ้นมาช่วยไว้ เขาต่อสู้กับคนร้ายจนมันทรุดกองกับพื้นช่วยหนูดีรอดพ้นความตายมาได้อย่างเฉียดฉิว ครั้งนั้นหนูดีขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิตตนไว้ แต่สุดาวรรณแทรกเข้ามาขอเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่น หว่านล้อม ลำเลิก บอกว่านี่เท่ากับหนูดีเป็นหนี้ชีวิตอ้นและอ้นคือเจ้าชีวิตหนูดี ตีขลุมรวบรัดว่า
“หนูดีควรตอบแทนหนี้ชีวิตนี้ด้วยการหมั้นกับพี่อ้นนะคะ”
เมื่อฟังหนูดีเล่าจบ ภัสสรตกใจรับไม่ได้ หนูดีบอกแม่ว่ายังไงตนก็ต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง
อ้อเดินมาหน้าห้องได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่หนูดีเล่า ค่อยๆถอยออกไปและโทรศัพท์หาทนายให้ช่วยทำเรื่องขอเยี่ยมแม่ด่วนให้ด้วย
วินพัตราเชื่อว่าหนูดีต้องมีเหตุผลอื่นในการรับหมั้นอ้นแน่ อินทัชถามว่า
“แล้วถ้าเป็นคุณน้อยล่ะครับ อะไรจะคือเหตุผลที่คุณน้อยจะรักกับคนที่คุณน้อยรักไม่ได้”
“เหตุผลของน้อยมีอยู่ข้อเดียวค่ะ...ก็เพราะคนคนนั้นเขาไม่รักน้อยยังไงล่ะคะ ก็ตบมือข้างเดียวมันจะไม่ดังหรอกจริงไหม...แต่ตอนนี้น้อยเจอมือข้างที่เหมาะจะเดินจูงมือไปกับน้อยแล้วล่ะค่ะ”
วินพัตราจับมืออินทัชมาประสานกับมือของตน มองอินทัชเต็มตา บอกว่า
“ก็มือข้างนี้ยังไงล่ะคะ”
อินทัชยิ้มออกมาเต็มหน้า วินพัตราถามว่า
“จับมือเดินไปกับน้อยได้ไหม”
“ตลอดไปเลยครับ”
อินทัชตอบรับด้วยความปลื้มปีติ วินพัตรายิ้มเขินแล้วจูงมือกันเดินไปท่ามกลางสวนสวยและแสงงามจากพระอาทิตย์ยามเย็น...
ooooooo
วันนี้หนูดีกับภัสสรเตรียมกลับแล้ว อังกาบติงว่ารอให้หายดีกว่านี้ก่อนไม่ดีหรือ หนูดีบอกว่าตนคิดถึงบ้าน อังกาบบอกว่าถ้าหนูดีไปคนที่นี่ก็คิดถึงหนูดีเหมือนกัน หนูดีสัญญาว่าหายดีแล้วจะมาเยี่ยม
หนูดีมองไปรอบๆ วัฒน์รู้ใจถามแทนใจน้องสาวว่าพ่อเลี้ยงไปไหนไม่คิดจะมาส่งแขกเลยหรือ อินทัชบอกว่ามีงานที่ไร่ อินปันแย้งว่าข้ออ้างมากกว่าคงทำใจไม่ได้ ไม่อยากลาคุณหนูดี
หนูดีตัดใจเอ่ยลาทุกคนและขอบคุณสำหรับทุกๆอย่าง แล้วไหว้ลาอังกาบกับลุงอินปัน
ขณะหนูดีกับภัสสรเดินออกไปนั้น อ้อก็วิ่งเข้ามาร้องเรียกหนูดี บอกว่ายังไงหนูดีก็กลับไม่ได้จนกว่าจะได้เห็นอะไรบางอย่างก่อน หนูดีถามว่าอะไร อ้อไม่ตอบแต่ยื่นจดหมายของสุดาวรรณให้หนูดีอ่าน...
ooooooo
วศินยืนอยู่ในไร่ชาเห็นรถแล่นออกจากเขตไร่ชา เขาคิดว่าเป็นรถของหนูดี พึมพำเศร้า...
“ลาก่อนครับหนูดี...”
“ลาไปไหนคะ” เสียงหนูดีถามจากข้างหลัง
วศินหันไปเห็นหนูดีเดินยิ้มเข้ามาก็อุทาน “หนูดี!!!”
หนูดีถามหยอกว่า “พี่วศินจะลาไปไหนเหรอคะ”
วศินทำหน้าแปลกใจ บอกว่าคิดว่าหนูดีกลับกรุงเทพฯไปแล้ว ทำไมถึง?? หนูดียิ้มไม่ตอบ แต่หยิบจดหมายของสุดาวรรณที่อ้อเอามาให้ยื่นให้เขาอ่าน วศินรีบคลี่จดหมายออกอ่านทันที...
“หนูดี...อ้อเล่าเรื่องที่หนูกำลังคิดจะรับผิดชอบหนี้ชีวิตที่ตาอ้นได้ช่วยหนูเอาไว้ด้วยการรักษาสัญญาหมั้นที่เคยให้ไว้กับป้าแล้ว...ป้าซาบซึ้งใจในการรักษาสัญญาของหนูมาก แต่ขอให้หนูรู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ตาอ้นต้องการ ก่อนตายตาอ้นได้คืนหนูให้วศินแล้ว นั่นเท่ากับว่าหนูหมดพันธสัญญากับตาอ้นแล้วเช่นกัน ป้าอยากขอให้หนูทำตามที่ตาอ้นต้องการเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้ดวงวิญญาณของตาอ้นไปสู่สุคติและเพื่อปลดเปลื้องความรู้สึกผิดบาปในใจของป้าด้วยเช่นกัน...”










