ตอนที่ 11
บ่ายนี้ขณะแมงเม่านั่งเครียดอยู่ในสวนคนเดียว ขันทองเข้ามาถามว่าไม่ไปร่วมฉลองวันมหาสงกรานต์รึกำลังสนุกเชียว แมงเม่าถามหน้านิ่งว่าสงกรานต์แปลว่ากระไรเจ้าคะ ขันทองแปลกใจแต่ก็ตอบว่า
“สงกรานต์แปลว่า ‘ย้าย’ หมายถึงพระอาทิตย์ย้ายราศีซึ่งมีทุกเดือนแต่ถือว่าการย้ายเข้าราศีเมษสำคัญที่สุด จึงเรียกว่า ‘มหาสงกรานต์’ ถือว่าเป็นวันปีใหม่ของคนไท”
“ไม่ใช่ของคนไทเจ้าค่ะ” แมงเม่าสวนทันควัน แววตาแข็งกร้าวจนขันทองแปลกใจ “คำว่า ‘สงกรานต์’ ยังไม่ใช่คำไทเสียด้วยซ้ำ ปีใหม่ไทอยู่เดือนอ้ายมิใช่เดือนห้า ปีใหม่เดือนห้าเป็นปีใหม่ของผู้ดีกรุงศรีเท่านั้น พวกผู้ดีถึงได้รื่นเริงกัน ขณะที่พวกไพร่ได้กินคมดาบคมหอกของอังวะแทนข้าว”
“เกิดอะไรขึ้นรึเจ้า” ขันทองไม่คิดว่าแมงเม่าจะเก็บกดขนาดนี้ แมงเม่าน้ำตาค่อยๆไหลออกมา พูดทั้งน้ำตาว่า “ฉันคับแค้นใจเจ้าค่ะ บ้านเมืองลุกเป็นไฟ คนไทส่วนหนึ่งเอาเลือดทาแผ่นดินแต่อีกส่วนกลับเฉลิมฉลองโดยไม่รู้สึกรู้สาราวกับอยู่กันคนละแผ่นดิน ทั้งที่จริงห่างกันแค่กำแพงกั้นเท่านั้น”
แมงเม่าน้ำตาไหลพรากอย่างสุดกลั้น ขันทองมองอย่างเข้าใจความรู้สึก แมงเม่าพูดทั้งที่น้ำตายังไหลพรากๆ “ทำไมเจ้าคะ ทั้งที่หากกรุงแตกก็ต้องลำบากได้ยากด้วยกันทั้งนั้น เหตุใดยังเห็นแก่ตัวอยู่ได้”
ขันทองดึงแมงเม่าเข้าไปกอดแน่นด้วยความเข้าใจและเห็นใจ แมงเม่ากอดตอบร้องไห้ออกมาอย่างที่ใจอยากร้องให้สมกับที่เก็บกดมานาน
ooooooo
ผ่านมาอีก 2–3 เดือน สถานการณ์เป็นดั่งคำบรรยายที่ว่า...
“ในขณะเดียวกันนั้น สงครามระหว่างกรุงอังวะกับจีนก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่หลายครั้ง ไม่มีฝ่ายใดที่กำชัยชนะได้โดยเด็ดขาด”
ค่ำนี้ที่กระโจมพระเจ้ามังระ พระเจ้ามังระโมโหลุกขึ้นยืนต่อหน้าอะแซหวุ่นกี้และเหล่าขุนนางประกาศก้อง
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่มีการเรียกทัพที่ตีอโยธยากลับจนกว่าจะเสร็จศึก เหตุใดจึงพูดเช่นนี้อีก”
พวกขุนนางหันมองกันตาปริบๆ แล้วหันไปมองอะแซหวุ่นกี้เป็นเชิงให้ช่วยพูด อะแซหวุ่นกี้เห็นสีหน้าของพวกขุนนางก็เข้าใจ ตัดสินใจพนมมือขึ้น
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ด้วยที่ประชุมขุนนางเห็นตรงกันว่าเราไม่อาจเอาชัยทัพจีนได้โดยเด็ดขาด เว้นแต่จะเรียกทัพที่ตีอโยธยามาช่วยเสริมเท่านั้น ส่วนการตีอโยธยานั้นเราอาจรออีกสักสองสามปีก็ยังได้ด้วยอโยธยานั้นอ่อนแอนักพระพุทธเจ้าข้า”










