ตอนที่ 15
ชายหนุ่มชะงักหันมองหาว่าเสียงมาจากไหน ก่อนจะมาหยุดมองที่ภาพวาดหนูเล็ก จังหวะนั้นเหิมส่งข้อความมาหา ว่าวันนี้จะไปหาลูกความที่อู่ซ่อมเรือเรืองขจรที่บางกอกน้อย ให้เขาเอาซอสามสายไปส่งให้ที่นั่นเที่ยงตรง เขามองนาฬิกาที่แขวนบนผนังบอกเวลา 9 โมงกว่าๆ กลับไปหยิบซอสามสายแล้วเปิดประตูออกจากห้อง เจอฤกษ์ยืนอยู่พอดี จะมาเชิญลงไปดื่มกาแฟ ท่านเศรษฐีรออยู่ เทวัตรับทราบขอเอาซอไปเก็บในรถก่อน
“นั่นคุณจะเอาซอสามสายไปไหนครับ”
“อ๋อ พ่อให้ผมเอาไปคืนน่ะครับ พ่อไม่พอใจมากที่ผมเอาของพ่อติดมือมา ผมก็ไม่รู้ว่าพ่อจะหวง เห็นว่าซอหักแล้ว คิดว่าพ่อคงทิ้ง ผมเสียดายก็เลยหยิบติดมือมา ไม่ได้คิดอะไร”
ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจ ฤกษ์รู้สึกเป็นห่วงเทวัตอย่างบอกไม่ถูก อาสาจะเอาซอคันนี้ไปคืนเหิมให้เอง เทวัตเกรงใจบอกว่าไม่เป็นอะไร ตนเอาไปคืนเองได้
“เป็นสิครับ ผมได้ยินท่านสั่งแสงดีให้ทำกับข้าวเที่ยงนี้ท่านจะให้คุณโทร.เชิญคุณดาญ่ามากินข้าวเที่ยงด้วย อย่าให้ท่านผิดหวังเลยครับ ท่านเพิ่งจะเสียลูกชายไป ท่านคงอยากมีความสุขเพื่อลืมความทุกข์ด้วยการใช้เวลากับคุณสองคน แค่เอาซอไปคืนแล้วกลับ คุณไม่ต้องเสียเวลาไปเองหรอกครับ ให้เวลาที่มีค่าของคุณกับท่านเถอะครับ ส่วนซอนี่ผมจะทำหน้าที่ไปคืนแทนคุณเอง”
“ถ้าอย่างนั้นผมรบกวนลุงเกิดด้วยครับ”
ฤกษ์รับซอมาด้วยความเต็มตื้นเหมือนได้ทำอะไรเพื่อลูก รูปวาดของหนูเล็กมองลงมาคล้ายจะพอใจที่ลูกไม่ต้องไปหาเหิมตามนัด...
จากนั้นไม่นานเทวัตไปหาวิจารณ์ที่กำลังรอกินมื้อเช้าด้วย ครั้นท่านรู้ว่านายเกิดบอกเขาแล้วว่าท่านอยากเชิญดาญ่ามากินข้าวกลางวันที่บ้านจะได้คุยกันเรื่องรุกขเทวดาที่ยังคุยค้างอยู่ ไม่รู้เธอว่างหรือเปล่า เทวัตมั่นใจว่าเธอว่างแน่นอน เพราะเธอเองอยากคุยกับท่านเรื่องนี้เช่นกัน ท่านแปลกใจทำไมเธอถึงสนใจเรื่องนี้
“เรื่องมันยาวครับ ไว้ให้คุณดาญ่าคุยกับคุณตาเองจะดีกว่า ตอนนี้ผมรีบโทร.เชิญคุณดาญ่าก่อนนะครับ”
“เออ จริงสิ รีบโทร.เข้าเดี๋ยวหนูดาญ่าจะไปรับนัดใครซะก่อน”
เทวัตรีบโทร.ชวนดาญ่ามากินข้าวเที่ยงบ้านคุณตาด้วยกัน เธอตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา...
ที่บริษัทเอกธนกิจ เนตรสุดาเพิ่งมาถึงออฟฟิศเห็นอำนวยเปิดประตูห้องทำงานรังสรรค์สอดส่ายสายตาเข้าไปสำรวจข้างใน แกล้งร้องทักเสียงดังสอดแนมอะไรหรือ อำนวยถึงกับแต๋วแตกร้องว้ายลั่นก่อนแก้ตัวเป็นพัลวัน
“คุณรังสรรค์ยังไม่มาทำงานเลยเจ๊ ติดต่อไม่ได้โทร.ไปก็ไม่มีสัญญาณ มันดูแปลกๆวิเวกวังเวงยังไงก็ไม่รู้”
“ตกลงนี่แกเป็นห่วงเขาหรือว่าแช่งเขาอยู่ยะ”










