ตอนที่ 10
ไต้เกียวนั่งฟังอยู่ด้วยโพล่งแทรก “เสมอที่ไหนกันล่ะ เราได้เปรียบชัดๆ ไม่มีอาเจ็กฮงสักคนก็ไม่มีคนคอยประสานให้ ตอนนี้พวกมันก็หวังพึ่งแค่ให้เฮียโฮ่วชนะเลือกตั้งเท่านั้นแหละ”
“ก็ได้แค่หวังเพราะมันไม่มีทางชนะเราได้หรอก จบเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ปิดตำนานเจ้าพ่อเมืองกรุงไปพร้อมกันเลย!”
ขณะที่เกมชิงอำนาจระหว่างชาญยุทธกับพันเดชร้อนระอุอีกครั้ง การหาเสียงเลือกตั้งก็ดำเนินต่อกระทั่งถึงวันลงคะแนน ทรงวาดไม่ตื่นเต้นกับผลการนับคะแนนแต่แวะไปตึกหกห้องของปิ่นมุกแทน
ปิ่นมุกยืนมองทรงวาดที่ทำอาหารด้วยสีหน้าเรียบเฉย พยายามอ่านใจเขา
“อั๊วดีใจนะที่เฮียเห็นร้านข้าวต้มอั๊วสำคัญกว่าผลเลือกตั้ง แต่ถ้าเฮียจะไปปรากฏตัวหน่อยก็ไม่เป็นอะไรหรอกนะ”
ทรงวาดส่ายหน้า ถอนใจปลงๆ “ไม่จำเป็น อั๊วทำเต็มที่แล้ว ทั้งหมดก็เพื่อให้พี่อ้ายสบายใจและเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้ แต่หลังจากนั้นใครจะแพ้ชนะ
ไม่เกี่ยวกับอั๊วแล้ว”
“แต่ถ้าเฮียชนะเฮียก็ต้องเกี่ยวข้องกับพี่บุญธรรมเฮียต่ออีกยาวเลยแหละ เขาคงไม่ปล่อยเฮียง่ายๆหรอก”
ปิ่นมุกพูดพลางคีบอาหารเข้าปาก ทรงวาดมองมาด้วยความขำปนเอ็นดูก่อนบอกแผนชีวิตของตนจะยอมทำตามสิ่งที่ชาญยุทธต้องการเป็นครั้งสุดท้าย หากเลือกตั้งสำเร็จจะค่อยๆถอยออกมาเพื่ออยู่กับเธอ
ooooooo
ในที่สุดผลการเลือกตั้งก็ออก ทรงวาดกับสมพลแพ้คะแนนทั้งคู่ ไม่มีใครได้เป็นตัวแทนท้องถิ่น เป็นไปตามแผนของพันเดชทุกอย่างคือส่งผู้สมัครพรรคเดียวกันไปแย่งคะแนนกันเอง
พันเดชสะใจมากส่งฤทธิ์ไปหว่านล้อมบรรดาหัวหน้าแก๊งในเยาวราชเป็นครั้งสุดท้าย ไต้เกียวเฝ้ามองด้วยความสาแก่ใจยิ่งกว่าเพราะเชื่อว่าชาญยุทธคง
ไม่อยู่เฉยปล่อยให้ผลประโยชน์ถูกเปลี่ยนมือง่ายๆ
ชาญยุทธเต้นผางอย่างที่ไต้เกียวคิด ตั้งท่าจะกวาดล้างบรรดาแก๊งโทษฐานที่แปรพักตร์ วิสูตรต้องเตือนให้ใจเย็นเพราะเวลานี้ไม่มีแก๊งหนุนหลังหากดึงดันสู้ตรงๆคงไม่มีทางชนะ
“แล้วจะปล่อยให้มันหยามน้ำหน้าฉันอย่างนี้น่ะเหรอ”
“ถ้าท่านยังอยู่ท่านก็ต้องบอกให้คุณอดทนครับ ตอนนี้มีทางเดียวเท่านั้นก็คืออดทนและรอโอกาส”
โอกาสของชาญยุทธมาถึงเร็วกว่าที่คิดเมื่อทางพรรคแจ้งเรื่องวิกฤติน้ำมันโลกซึ่งจะมาถึงในสองสัปดาห์ สินค้าต่างๆทั้งของกินของใช้จะมีราคาสูงลิบตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น เขาจึงฉวยโอกาสนี้เอาคืนพันเดชและสั่งสอนบรรดาหัวหน้าแก๊งที่แปรพักตร์จากเขาด้วยการยืมมือทรงวาดกักตุนข้าวสารเพื่อกุมอำนาจซื้อขาย










