บ่วงสไบ

“ไม่เจ็บจ้ะ...เพี้ยงหาย...เพี้ยงหาย...ขนมตกดินแล้ว ฉันจะซื้อให้จ้ะ”

พุดจีบหันไปซื้อขนมแถวนั้นให้เด็กทั้งสอง

และสอนว่า เป็นเพื่อนกันอย่าทะเลาะอย่าแย่งของกัน ให้ดีต่อกัน เด็กทั้งสองยิ้มรับจับมือกันเดินไป...

เสียงแก้วร้องเรียกพุดจีบให้มาดูก้อนย้อมผ้าที่มาจากจีนว่ามีสีสวยมากมาย พุดจีบพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ตนชอบย้อมผ้าด้วยสีจากเปลือกไม้แก่น แต่ก็จะซื้อ

ก้อนสีย้อมไปย้อมผ้าให้แก้ว

“เอ็งไม่รู้รึ คุณหนูไม่ใช้ผงสีย้อมผ้า” บวบเอ็ดแก้ว ดีช่วยแก้ตัวให้ว่า

“แก้วไม่รู้ดอก วันๆขลุกทำงานอยู่ในครัวไม่เคยไปโรงผ้า”

แก้วหน้าเสียแต่ก็ประทับใจที่พุดจีบมีเมตตา

เรียมยิ้มหันมาพูดกับป้าเจิมว่า วิญญาณอิ่มคงเป็นสุข ถ้ารู้ว่าคุณหนูรับแก้วมาอยู่ที่เรือน ไม่ต้องลำบากที่ท้ายป่า ป้าเจิมก็หวังว่าความดีของพุดจีบจะทำให้แก้วละความอาฆาตลงได้

พุดจีบเดินนำแก้วและหันมองทุกคนที่ถือข้าวของมากมาย ก่อนจะพูดขำๆว่า ถ้าเดินถึงท้ายตลาดคงต้องใช้เกวียนขนของ ทุกคนหัวเราะชอบใจ แต่แล้วมีแก๊งขี้เมาสี่ห้าคนเข้ามาขวางจับมือพุดจีบ พุดจีบตบฉาดเข้าให้และเตือนสติ

“ข้าลงโทษให้เอ็งมีสติจากฤทธิ์น้ำเมา แต่ถ้า

พวกเอ็งยังไม่สำนึก คิดระรานพวกข้าอีก ข้าจะแจ้งตำรวจจับพวกเอ็งเข้าคุก” พุดจีบคิดว่าพวกขี้เมาคงขยาด จึงชวนแก้วและทุกคนกลับ

แต่ชายขี้เมาคนหนึ่งเข้าจับตัวพุดจีบ แก้วตกใจกระโดดถีบช่วยพุดจีบ กลับโดนลากตัวไปด้วยอีกคน ป้าเจิม เรียม บวบและดีพยายามช่วยแต่ถูกพวกมัน

ชักมีดขู่จึงชะงัก พวกมันลากพุดจีบกับแก้วไป ป้าเจิมร้องเรียกคุณหนูด้วยความหวาดหวั่นใจ

รถลากคันหนึ่งพุ่งมาขวาง บุญเป็นคนลากมีเทพนั่งอยู่บนรถ ไอ้อยู่กับไอ้ฉ่ำประกบข้าง เทพช่วยพุดจีบกลับมาได้ พุดจีบให้เทพช่วยแก้วด้วย เขาจึงวิ่งไปช่วยด้วยชั้นเชิงการต่อสู้ที่เหนือกว่า พวกขี้เมาโดนเทพกับพวกจัดการจับตัวส่งตำรวจได้เรียบร้อย

แก้วประทับใจที่เทพมาช่วย แต่เทพกลับคอยดูแลห่วงใยพุดจีบเพียงคนเดียว...

เมื่อกลับถึงเรือน หลวงนฤเดชขอบใจเทพอย่างมากที่ปกป้องลูกสาวได้ทันการณ์

“กระผมยินดีปกป้องน้องด้วยชีวิตขอรับ” เทพยืนยันแข็งขัน

พุดจีบปลาบปลื้มแต่ไม่ลืมแก้วอีกคน “คุณพ่อ

คุณแม่ต้องขอบใจแก้วด้วยนะจ๊ะ แก้วเสี่ยงชีวิตช่วยลูก มิเกรงกลัวพวกมันเลย”

แก้วยิ้มรอคำชื่นชม แต่ต้องผิดหวังเมื่อคุณเยื้อนตัดบทเปลี่ยนเรื่องคุยกับคุณหลวง

“พ่อเทพไปเรียนปีนังหลายปี กลับมารับราชการตำแหน่งใด”

“เพื่อนฉันที่บางกอกแจ้งว่าพ่อเทพสอบเขียนได้รับตราตั้งเป็นพระเทพสุรเดช”