ตอนที่ 8
ปัทม์เล่าถึงความรู้สึกในขณะนั้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง แม้จะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วว่า
“เสียงของความถูกต้องในบริษัทของผมมันดังไม่พอจริงๆ แม้แต่คนที่ผมไว้ใจที่สุดเขาก็ไม่ได้ยิน”
แต่เมื่อออกจากห้องประชุม รสสุคนธ์บอกปัทม์ว่าเขาทำถูกต้องแล้วที่ยอมรับเสียงข้างมาก ปัทม์ย้อนถามว่า แล้วถ้าตนรู้สึกว่าเสียงข้างมากมันผิดล่ะ?
“ปัทม์คิดมากไปแล้ว...ปัทม์แค่คิดอย่างเดียวว่าลูกค้าชอบ บริษัททำกำไร ทำให้พนักงานมีความสุข ก็เท่านั้นเอง”
ปัทม์โต้ว่าถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเราจะโดนฟ้องและคนที่ต้องรับผิดชอบคือตนเพราะเป็นผู้บริหาร รสสุคนธ์ปลอบว่ามันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก
“ผมคิดว่าคุณจะเข้าใจผมที่สุดนะ”
“รสอยู่ข้างความถูกต้อง”
“งั้นผมว่าความถูกต้องของเราคงต่างกันแล้วล่ะ”
ทั้งสองต่างยืนยันความเห็นของตัวเอง ขัดแย้งกันชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปัทม์เดินออกไปอย่างผิดหวังในขณะที่รสสุคนธ์เดินกลับไปในที่ประชุม ที่ที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกับตน
นาทีนี้...ทั้งสองต่างเลือกที่จะเดินไปตามทาง
ของตัวเอง...
ooooooo
ปัทม์บอกนักข่าวที่มาสัมภาษณ์ว่า ช่วงเวลานั้น ตนแค่อยากจะคุยกับใครสักคนและคนแรกที่นึกถึงคือหนูตุ่น จึงโทร.ไปหาครูอัญ ครูอัญเล่าถึงการทำขนมไทยขายของหนูตุ่นว่าขายดีจนทำแทบไม่ทัน ดีที่มี
อ้นมาเป็นลูกมือ ไม่งั้นก็คงแย่
ขณะคุยโทรศัพท์ พอดีหนูตุ่นกลับมากับอ้น ครูอัญทักทายกับหนูตุ่นเสียงเข้าไปในสายที่ปัทม์ถือสายอยู่ หนูตุ่นถามแม่ว่าใครโทร.มาหรือ ครูอัญบอกว่าพี่ปัทม์น่ะ โทร.มาคุยสารทุกข์สุกดิบทั่วๆไป
ปัทม์บอกนักข่าวว่า นาทีนั้น...
“ผมรู้สึกเหมือนตัวคนเดียวอีกครั้ง...ขณะที่ดูเหมือนกราฟชีวิตผมเริ่มตก กราฟชีวิตของหนูตุ่น
กลับดีดสูงขึ้นสวนทางกับผม...”
ตรีชวาเสริมว่า “ขนมขายดีมาก มีคนสั่งทุกวัน ตกเย็นหลังกลับมาจากทำงานประจำ เราก็มานั่งเตรียมส่วนผมทำขนม ทีแรกพี่ก็ช่วยกันทำกับแม่ พักหลังมานี่ก็ได้อารักษ์มาช่วยอีกแรง...เหนื่อยมากนะ แต่มีความสุข”
“ตรงข้ามกับผม” ปัทม์แทรกขึ้น “ผมเหนื่อยแต่กลับมีความทุกข์ อยากจะนอนก็นอนไม่หลับ”
“ถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ากราฟชีวิต ความรัก และงาน สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะคะ” นักข่าวถาม
“ขณะที่ผมจมอยู่กับปัญหาที่ยังมองไม่เห็นทางออก แต่หนูตุ่นเขากำลังไปได้สวยเลยนะ ที่ดูเหมือนว่า จะทำงานหนักแต่ก็ยังมีคนช่วยแบ่งเบาไปได้เยอะ”










