ตอนที่ 10
“ฟังนะแม่...เฮ้ย! พวกเอ็งออกไปก่อน”
บ่าวคนอื่นไปกันหมด แต่มิ่งหลบมุมเงี่ยหูฟังเต็มที่
“แม่ไม่ต้องกลัว ถึงเราจะแพ้ แต่ลูก...ลูกของ แม่นี้แหละจะไม่แพ้ไปด้วย” ขุนทิพกล่าวหนักแน่น จากนั้นกระซิบต่อไป...มิ่งได้ยินตาโตตกใจ รีบกลับลงเรือน ไปแกล้งหลับกรนครอกตรงหัวบันได พอขุนทิพเดินมา ส่งเสียงเรียกก็แสร้งสะดุ้งสุดตัว
“ไอ้มิ่ง กูบอกให้ไปรอที่เรือ มึงมาทำอะไรอยู่ที่นี่วะ”
“ผะ...เผลอ...หลับขอรับ”
“ไอ้ขี้เกียจสันหลังยาว” ขุนทิพอารมณ์ขุ่นมัวเต็มที่วาดเท้าผึงเข้าให้ มิ่งหลบวูบแล้วรีบลุกวิ่งปุเลงๆ
ตรงไปท่าน้ำที่ไอ้มารออยู่ ขุนทิพไม่มีโอกาสเห็นสีหน้าและดวงตาที่วาววับด้วยความรู้สึกบางอย่างของมัน เดินตามมาแผดเสียงสั่งว่า
“ไปบ้านเจ้าคุณพลเทพ อย่าพายชักช้าวาดซ้ายขวาอยู่ล่ะพวกมึง กูเตะลงน้ำจริงๆด้วย...มองอะไรไอ้มิ่ง เดียวเหอะมึง มึงจงใจกวนตีนกูรึ”
มิ่งหลบตาไม่แสดงพิรุธใดๆ
ooooooo
เย็นวันหนึ่งฝนตกหนัก พันสิงห์วิ่งขึ้นเรือนมาในสภาพเปียกปอนทั้งตัว ชะเง้อมองหาดาวเรืองเพราะมีเรื่องจะบอก
“พันสิงห์มีอะไรจะบอกเล่าหรือ”
“ขอรับ หลวงไกรให้มาบอกขอรับ”
“อะไรหรือ”
“สั่งความให้กระผมมาบอกว่าคืนนี้ไม่กลับบ้านขอรับ เพราะจะเข้าเวรยามตลอดคืนขอรับ”
ดาวเรืองหน้าเสียทันที ลำดวนไม่ค่อยชอบใจ
พูดสวนออกไป
“อะไรกัน สองคืนก่อนก็อยู่เวรทั้งคืนทีแล้วนี่ ทำไมต้องอยู่อีกล่ะพันสิงห์”
“กระผมไม่ทราบได้ขอรับ แต่ไม่รู้ล่วงหน้ากันหรอกขอรับ ไม่งั้นหลวงไกรก็ต้องบอกแม่หญิงตั้งแต่เช้าแล้วนะขอรับ”
“เออ...พันสิงห์ ฉันถามหน่อยเถิด เมื่อไหร่ข้าศึกจะยกทัพกลับบ้านกลับเมืองเสียที น้ำรึก็หลากจนท่วมกรุงอย่างนี้ แถวรอบนอกคงเป็นทะเลล่ะ”
“คราวนี้เห็นทีจะไม่ได้ผลขอรับ ข้าศึกไม่ยอมกลับขอรับ ปักหลักอยู่ตามค่ายที่สร้างขึ้นล้อมกรุงแล้วขอรับ”
“ค่ายของเราใช่ไหม”
“ใช่ค่ะพี่ลำดวน เราเสียค่ายที่ยกไปตั้งรับพวกมันไปหลายค่าย”
“กระผมลาขอรับ”
“พันสิงห์ แล้วข้าศึกจะอยู่ยังไง เอาเสบียงอาหารที่ไหน น้ำหลากออกอย่างนี้”
“อ๋อ พวกมันหว่านข้าวไว้กินตั้งแต่เดือนห้า
เดือนหกโน่นแน่ะขอรับ”
“หว่านข้าว ข้าศึกน่ะหรือหว่านข้าวไว้กิน”
“ขอรับ ตอนนี้ข้าวก็ตั้งท้องแล้ว พอหนาวข้าว
ก็สุกพอดีเกี่ยวล่ะขอรับ ตอนนี้มันไปตั้งค่ายอยู่หมดแล้วขอรับ ตามวัดที่เป็นที่ดอนที่โคก มันก็เอาสัตว์เลี้ยงไปเลี้ยงตามหัวเมืองใกล้ๆ แล้วเที่ยวไปเอาเรือชาวบ้าน
มาใช้ไปไหนมาไหน”
ลำดวนกับดาวเรืองฟังแล้วนิ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง
ooooooo
พระเจ้าเอกทัศน์ทรงวิตกกังวลไม่น้อยเมื่อเจ้าคุณกลาโหมมากราบบังคมทูลรายงานว่าข้าศึกตีค่ายรอบนอกพระนครได้เกือบหมด ยังดีที่ขุนนางอีกสองคนมีข้อมูลว่า
“เรายังรักษาค่ายใหญ่ที่วัดไชยวัฒนาราม
ทางตะวันตกไว้ได้พุทธเจ้าค่ะ”
“ทางตะวันออกค่ายใหญ่ที่วัดพิชัยยังอยู่พุทธเจ้าค่ะ”
“อ้อ...ไอ้พระยาตากอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่”
“พุทธเจ้าค่ะ”
“เจ้าคุณเพชรบุรีมากรงนี้ กูจะสั่งการกะมึง...เจ้าคุณสงเคราะห์หน่อย รบให้ชนะเรียกขวัญให้หมู่ทหารกับชาวกรุงศรีสักครั้งหนึ่ง”










