ตอนที่ 18
“ไม่ค่ะ คุณยิงเขาไม่ได้!” มรกตถลาเข้าขวางเอาไว้ จางซูเหลียงถามว่าทำไม หญิงสาวสะอื้นเอามือลูบท้อง “ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆที่ต้องการผู้ชายธรรมดาๆ พลังไทชิทำให้คุณจางทำสิ่งที่ฉันต้องการไม่ได้ ฉันขอโทษค่ะ”
“เธอกำลังจะบอกอะไรกับฉัน”
มรกตจับมือนายท่านไปวางที่ท้องตน “คุณจางคะ ฉันท้อง...”
จางซูเหลียงตกใจตาโพลง จิตเปิด นึกถึงอดีตที่ตัวเองแทงจิงซูโดยไม่รู้ว่าเธอตั้งท้อง...มรกตแอบหยิบมีดจากศพจิงซูออกมาด้วย เธอใช้มีดเล่มนั้นแทงจางซูเหลียง เขาสะดุ้งเฮือกอย่างไม่คาดคิด มองมรกตด้วยสายตาผิดหวัง แล้วล้มลงสภาพเดียวกับจิงซูตอนโดนแทงตาย
มรกตกระชากมีดออกจากร่างจางซูเหลียง ในมือเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นก็ทิ้งมีดลงพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่นาฬิกาบอกเวลา 16.00 น.
ooooooo
ที่เครื่องการูด้าบนดาดฟ้า นกอินทรีกำลังหมุนวนไปมา พร้อมกับเสียงเพลงเวอร์ชันปีศาจ แต่มีเสียงร้องน้ำเสียงแหบแห้งฟังแล้วรู้สึกเหงา ปวดร้าวระคนเจ็บปวด สภาพอากาศแปรปรวนหนักขึ้น ท้องฟ้ามืดครึ้มเต็มไปด้วยเมฆฝน ลมพายุหมุน
กรุงเทพฯถูกถล่มด้วยพายุ ต้นไม้หักโค่น ผู้คนวิ่งหนีส่งเสียงร้องระงม...คมน์ กริชและสิงห์ขึ้นมาพยายามหาวิธีปิดเครื่อง มรกตกับรจิตมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน สิงห์ตัดสินใจวิ่งกลับลงไปเพื่อจะตัดมือจางซูเหลียงมาสแกนปิดเครื่อง เวลาเหลืออีกแค่สองนาที
กริชถามทำอย่างไรจะหยุดไอ้เครื่องนี้ได้ คมน์บอกคนที่จะหยุดมีแต่จางซูเหลียงเท่านั้น ไม่ทันไรสิงห์วิ่งชูมือจางซูเหลียงขึ้นมาสภาพเลือดยังโชกน่าสยดสยอง รจิตเห็นแล้วโผซุกหน้ากับอกกริชด้วยความกลัว คมน์รับมือนั้นมา จับนิ้วทาบลงไปบนเครื่อง นาฬิกายังนับถอยหลัง กริชเห็นว่าที่นิ้วเปื้อนเลือดก็เข้าไปเอาผ้าเช็ด แล้วทาบกดลงไปใหม่ นาฬิกาหยุดเดินทันที ปรากฏตัวหนังสือ Finger print correct จากนั้นก็มีไฟแดงให้เลือกว่าจะ STOP หรือ ENTER
คมน์รีบกดปุ่ม STOP ทุกคนพากันถอยห่าง เพราะปรากฏคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าวิ่งพล่านไปทั่ว จากนั้นก็ค่อยๆจางหาย ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสเหมือนไม่เคยเกิดเหตุร้ายมาก่อน ผู้คนที่วิ่งหนีพายุต่างประหลาดใจ มรกตดีใจกระโดดกอดคมน์ รจิตโผกอดกริชดีใจที่ทำสำเร็จ
ooooooo
เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี ท่านนายกฯ จัดงานชื่นชมวีรบุรุษในสวนร่มรื่น บนเวทีมีคมน์ กริช สิงห์ มรกต แคทที่ถือรูปอดิศักดิ์ไว้ กำพล เอื้อมและทหารอีกหลายนาย ทุกคนได้ติดเหรียญกล้าหาญ ผู้พันพิชิต ไสว สุธรรม จิตรี รจิตและแขกเหรื่อต่างปรบมือแสดงความยินดี
“วิกฤตการณ์ที่ผ่านมา คือบทพิสูจน์ในความกล้าหาญ และเสียสละของเหล่าวีรบุรุษผู้ปิดทองหลังพระ ถ้าไม่ได้พวกเขา ก็อาจไม่มีรอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะเหมือนเช่นทุกวันนี้ ผมขอโทษที่ไม่อาจเปิดเผยวีรกรรมของพวกท่านต่อสาธารณชนได้ด้วยเหตุผลบางประการ แต่อย่างไรก็ดี ผมในนามของประชาชนคนไทยทุกคน จะขอรำลึกนึกถึงสิ่งที่ท่านทำให้กับพวกเราโดยไม่มีวันลืม ขอขอบคุณและขอเสียงปรบมือให้กับวีรบุรุษผู้ปิดทองหลังพระของเราทุกคนครับ”










