ตอนที่ 5
สมพรร้องกรี๊ดเมื่อรู้ว่าปัทม์หายไปจะออกไปตามหา บอกเดวิดว่าให้เขาอยู่ที่บ้านแล้วสมพรก็ไปบอกครูอัญกับหนูตุ่น ครูอัญปลอบว่าตอนนี้ปัทม์ยังไม่เป็นอะไรเราต้องช่วยกันคิดว่าเขาจะทำอะไร เขาจะไปที่ไหน
หนูตุ่นอ่านจดหมายลาของปัทม์ที่เขียนว่า “ผมคิดว่าผมคงย้ายตัวเองไปอยู่กับแม่แล้ว” นึกได้บอกว่า
“หนูรู้แล้วว่าพี่ปัทม์อยู่ที่ไหน” แล้วพุ่งออกไปทันที วิ่งไปจนถึงกำแพงวัดที่บรรจุเถ้ากระดูกของคนที่ตายไปแล้ว เห็นปัทม์นั่งพนมมืออยู่หน้าที่เก็บเถ้ากระดูกของลินจง หนูตุ่นพรวดเข้าไปยื่นจดหมายลาให้ปัทม์ดู
“หมายความว่ายังไง”
“หมายความอย่างที่เห็นนั่นแหละ”
“หนูตุ่นไม่คิดเลยว่าคนที่ชีวิตผ่านอะไรมาเยอะอย่างพี่ปัทม์จะคิดสั้นขนาดนี้” ปัทม์ถามว่าจะให้ตนทำยังไง ตนคิดถึงแม่ “เขาไปสบายแล้ว พี่ต้องอยู่ แล้วสร้างชีวิตของพี่ต่อไป”
“จะสร้างไปทำไม ในเมื่อไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่อใคร”
หนูตุ่นถอนใจเฮือก ถามว่ารู้ไหมตนมาพูดกับพี่ปัทม์เพื่ออะไร ปัทม์ลุกเดินหนีไม่อยากฟัง หนูตุ่นเดินตาม ปัทม์เดินหนีไปกี่ก้าวหนูตุ่นก็เดินตามทุกก้าว และพูดไม่หยุด
“ถ้าพี่ปัทม์ตายไป พี่ปัทม์ไม่คิดเหรอว่าหนูตุ่นจะเป็นยังไง” ปัทม์บอกว่าหนูตุ่นคงเสียความรู้สึกหรือไม่ก็เสียใจไปตลอดชีวิต “พี่ปัทม์คิดผิดแล้วค่ะ หนูตุ่นจะลืมมันและก็คิดว่ามันคือวันที่แย่วันหนึ่งเท่านั้น หนูตุ่นมีอะไรต้องทำอีกเยอะเพื่อคนอื่น การที่หนูตุ่นมาขอร้องให้พี่มีชีวิตอยู่ตอนนี้เพราะหนูตุ่นเป็นห่วงพี่นะ เสียดายความมุ่งมั่น ความสามารถที่พี่ปัทม์มี”
“มีแล้วไม่รู้จะทำเพื่อใครไง”
“ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่อใครก็ให้คิดว่าอยู่เพื่อทำประโยชน์อะไรสักอย่างให้กับโลกใบนี้ได้ไหม”
ปัทม์เล่าถึงตอนนี้แล้วนิ่งไป ก่อนพูดอย่างประทับใจว่า
“เป็นอีกครั้งที่คำพูดเป็นชุดๆของหนูตุ่นกระแทกเข้าไปในสมองผม ผมไม่เคยคิดเรื่องการทำประโยชน์ให้ใครนอกจากทำให้แม่ผม...พูดตรงๆนะ ตอนนั้นสติผมมันแย่ขนาดที่ว่าตั้งใจจะฆ่าตัวตายแต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนดี”
“ตอนนั้นถ้าคุณตรีชวามาขอร้อง ท่านจะเป็นยังไงต่อไปคะ”
“คงไม่เรียนหนังสือ ออกมาทำงานเลย” นักข่าวแปลกใจถามว่าไม่คิดฆ่าตัวตายอีกหรือ “มันสองจิตสองใจอยู่นะ ถ้าจะทำก็ทำเลยไม่มานั่งเขียนจดหมายลาใครก่อนมานั่งสารภาพผิดกับแม่ที่กำแพงวัดหรอก”
“หรือจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำอยู่แล้ว” ตรีชวาเสริม
“ก็เป็นไปได้ ฮอร์โมนวัยรุ่นมันพลุ่งพล่าน” แล้วปัทม์ก็โอบตรีชวาไว้แนบกาย “แต่ต้องขอบคุณคนนี้เลย สิ่งที่เขาพูดกับผมเวลานั้น มันเปลี่ยนโลกของผมไปอีกแบบเลย”










