ตอนที่ 10
เกือบสว่างนวลฝันเห็นจักรแต่จำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร แต่ในฝันเธอกับเขาช่วยกันทำคลอดให้วัวตัวหนึ่งสำเร็จ แล้วผู้ชายคนนั้นเรียกเธอว่านวล
นวลสะดุ้งตื่นและคิดทบทวนด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่ได้เล่าให้ชายใหญ่ฟัง พอฟ้าสางได้ช่างมาซ่อมรถ สองคนจึงพากันกลับบ้านพักริมทะเลแต่ไม่พบใครสักคน มีเพียงกระดาษข้อความที่เขียนบอกไว้ว่าท่านพ่อของชายใหญ่ประชวร ทุกคนกลับไปตั้งแต่เมื่อวาน
ส่วนที่บ้านเช่าบรรยากาศไม่ค่อยดีนัก ภุมวารีตื่นสายออกมาเห็นครอบครัวภาสกรนั่งกินข้าวพร้อมหน้า รวมทั้งขวัญเรือนก็ร่วมโต๊ะด้วย เธอรู้สึกเป็นส่วนเกินจึงพูดกระแนะกระแหนว่า
“ได้กินข้าวพร้อมหน้าครอบครัวนี่มีความสุขมากไหมคะ”
“ผมเห็นคุณเหนื่อยๆจากเมื่อวาน ก็เลยไม่กล้าปลุก...มาทานด้วยกันนะครับ”
“อย่าเลยค่ะ ฉันมันคนนอก อีกอย่างมีธุระจะต้องรีบไป”
“ติดรถผมไปก็ได้ อีกประเดี๋ยวผมก็จะออกแล้ว”
“นานๆครอบครัวคุณภาสจะได้อยู่พร้อมหน้าสามคนพ่อลูก ฉันไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรคุณพ่อจะต้องพเนจรหนีเจ้าหนี้ไปอีก”
ภุมวารีมองทินกรเหยียดๆ แล้วเดินเชิดออกไป
“ฮึ! ทำเป็นจองหอง คนอย่างเมียแกถ้าไม่ใช่ลูกเศรษฐีมีเงิน ก็คงไม่มีใครคว้ามาทำเมีย หาความอ่อนหวานน่าเอ็นดูไม่ได้ซักนิด สู้แม่หนูนี่ก็ไม่ได้”
ทินกรชมขวัญเรือน หญิงสาวสบตาเขาแล้วหน้าร้อนวูบเหมือนโดนลวนลามทางสายตา รีบก้มหน้ากินข้าวทำเป็นไม่สนใจ
หลังอาหารภาสกรเตรียมตัวไปทำงาน เห็นจดหมายหลายฉบับจึงหยิบมาพลิกดูก่อนจะชะงักกับซองหนึ่งที่คล้ายบัตรเชิญ มีตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลอภัยรัตน์ ถามพ่อว่าพวกเขารู้ได้ยังไงว่าตนอยู่ที่นี่
“พ่อเคยบอกพวกอาๆของแก ว่าถ้าเงินทองมันเหลือเก็บก็ให้ส่งมาทางนี้บ้าง คงเป็นการ์ดเชิญไปงานวันเกิดหม่อมย่าของแกล่ะสิ มีเงินทองจัดงานวันเกิดหรูหราทุกปี แต่ซักแดงเดียวก็ไม่เคยเจือจานมาถึงเรา คงต้องรอให้นังแก่นี่ตายก่อน”
“คุณพ่อ...”
“ไม่ต้องมาเอ็ดฉัน แกจะนับถือมันก็นับถือไป แต่นังหม่อมรัศมีมันไม่ใช่แม่ฉันโว้ย แม่ฉันเป็นแค่ขี้ข้าในวัง แกลืมไปแล้วหรือ”
ภาสกรไม่อยากต่อความ แกะซองเห็นเป็นการ์ดเชิญจริงๆ ถามพ่อว่าจะไปร่วมงานไหม
“จะโผล่ไปให้พวกมันกระแนะกระแหนทำไม แกไปสิ เผื่อมันอารมณ์ดีจะให้สมบัติติดมือมาซักชิ้นสองชิ้น”
“ถ้าคุณพ่อไม่ไป ผมก็ไม่ไป” ภาสกรเก็บซองวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม
ooooooo
ชายใหญ่กับนวลกลับวังเทวฉัตรด้วยความเป็นห่วงท่านชายภานุดิษฐ์ แต่ท่านแค่หน้ามืดไม่ได้เป็นอะไรมาก หญิงเล็กดูแลอยู่ พอเห็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ก็แขวะอย่างหมั่นไส้
“หายกันไปทั้งวันทั้งคืน ความสนุกมันคงล้นปรี่แล้วมั้งคะ พาพี่ชายฉันไปขึ้นสวรรค์ชั้นไหนมาล่ะยะ ถึงได้กลับบ้านกันไม่ถูก”
“หญิงเล็ก อย่าพูดน่าเกลียด ลูกก็รู้ว่าชายใหญ่กับหนูผึ้งเขาไปฮันนีมูน จะไปไหนก็เรื่องของเขา”
หญิงเล็กโดนท่านพ่อตำหนิจนหน้าม้าน แต่ไม่วายประชดว่า “ลูกชายคนโปรดของท่านพ่อมาแล้ว หญิงก็คงตกกระป๋องแล้วมั้งคะ เชิญออดอ้อนเอาใจกันตามสบายเถอะ”
หญิงเล็กปึงปังออกไป นวลขยับเข้ามาอธิบายกับท่านชายว่า
“คือรถที่เรานั่งออกไปเที่ยวเกิดเสียตอนกำลังจะกลับบ้านเพคะ ก็เลยต้องไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านชั่วคราว หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยแทนคุณชายด้วยเพคะ”
“หม่อมฉันอะไรกัน หนูเป็นลูกสาวฉันแล้วนะ เรียกฉันว่าพ่อเหมือนชายใหญ่เถอะ”
“เพคะท่านพ่อ”
“แต่ก็ดีแล้วล่ะที่กลับมา จะได้มาเห็นหน้าเห็นตากัน ไม่งั้นพ่อก็คงไม่ได้เจอลูกๆเลย”
“หมอว่ายังไงบ้างครับ”
“ตามหลักของหมอนั่นแหละ ให้พ่อนอนพักเยอะๆ อย่าเพิ่งทำอะไร นี่ก็สงสัยจะต้องอดไปงานของหม่อมรัศมี ชายไปแทนทีนะลูก เอาหนูผึ้งไปด้วยสิ”
ชายใหญ่ยังไม่รับปาก มองภรรยาอย่างชั่งใจ... หลังจากเธอกลับออกไป เขาบอกท่านพ่อว่าตนเต็มใจไป แต่ไม่แน่ใจว่าจะพาภุมวารีไปด้วยดีไหม










