ตอนที่ 2
พิทยาธรและตำรวจทั้งหมดพากันขึ้นรถ มนัสกับปรีชาขอไปด้วยประสาเหยี่ยวข่าวประจำโรงพัก
เมื่อถึงบ้านป้าสำอางตามเบาะแสที่ได้จากมัทนี กลุ่มตำรวจร้องเรียกแต่ไม่มีเสียงขานรับจึงบุกเข้าไปภายใน
“ไม่เห็นมีใคร”
“บางทีสองคนนั้นอาจจะหนีไปที่อื่นแล้วครับหมวด”
“งั้นลองไปเดินส่องไฟดูรอบๆบ้านเผื่อเจอหลักฐานอะไรบ้าง”
ตำรวจพากันเดินส่องไฟฉายตามมุมต่างๆ มนัสกับปรีชาตามประกบ สักครู่จ่าเฉยวิ่งนำทุกคนไปมุมหนึ่งที่มีกระเป๋าตกอยู่ ประณตคว้ากระเป๋าใบนั้นมาเปิดค้นดูแล้วบอกว่า
“ก็แค่กระเป๋าเสื้อผ้า ไม่เห็นมีอะไร”
“จ่า ผมว่าทีหลังคุณไม่ต้องรีบเดินเข้าไปแตะต้องหลักฐานนะ”
“ทำไมล่ะหมวด”
“รอยเท้ากับลายมือของจ่าน่ะมันไปทำลายสภาพแวดล้อมหมดแล้ว”
ประณตชักสีหน้าไม่พอใจ แกล้งทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นแรงๆ พิทยาธรรู้แต่ข่มอารมณ์เอาไว้
เมื่อทั้งหมดออกมาขึ้นรถเพื่อกลับโรงพัก มนัสพูดโพล่งว่าคืนนี้เหนื่อยเปล่า พิทยาธรสวนทันทีว่าเรื่องแค่นี้ไม่เหนื่อยหรอก ส่วนปรีชาคาดเดาว่าที่มีเรื่องกันน่าจะเป็นเรื่องซื้อที่ดิน นักเลงคงมาบีบเจ้าของบ้าน
“ครับ แต่ยังไงพรุ่งนี้ผมก็คงต้องเข้ามาสอบถามเจ้าของบ้านแถวนี้อีกที”
ฟังหมวดแล้วลูกน้องทุกคนออกอาการเซ็งเพราะไม่ชอบงานหนัก เมื่อรถแล่นไปได้สักพัก นายดาบที่เป็นคนขับตะโกนบอกหมวดว่ามีคนนอนกลางถนน
ครั้นรถจอดสนิททุกคนกรูลงไปที่ศพ ทำลายหลักฐานต่างๆโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มนัสกับปรีชาเหยียบย่ำเดินไปทั่วพื้นที่เพื่อถ่ายรูป ส่วนจ่าทั้งหลายพลิกศพไปมาแล้วพูดกันเซ็งแซ่ว่ารอยยางรถกลางตัวโดนรถชนแน่ๆ ไส้แตกด้วย
“ใครมีวิทยุ เรียกพวกมูลนิธิมาหน่อย”
“เดินเซ่อซ่ายังไงให้รถชนวะ”
พิทยาธรยืนมองด้วยความหงุดหงิดแล้วส่ายหน้าพูดอย่างเอือมระอา “นี่...เมื่อกี้ผมบอกไปแล้วนะครับว่าถ้าเจออะไรแบบนี้อย่าเพิ่งรีบเข้าไปแตะต้อง รู้ไหม
ตอนนี้พวกคุณกำลังทำลายหลักฐานหมดแล้ว”
“เห็นๆอยู่ว่าโดนรถชนตายจะเอาหลักฐานอะไรอีกล่ะหมวด” ประณตยอกย้อน
บุญเชิดเสริมว่า “ใช่ครับหมวด พวกเรารีบเข้ามาเพื่อช่วยนะครับ ถ้ายังไม่ตายจะได้ปฐมพยาบาลไงครับ”
“เฮ้ย...เรียกมูลนิธิมาหรือยัง” ดาบศรีเร่งยิกๆ
ทุกคนตะโกนกันโหวกเหวกโวยวาย พิทยาธรเซ็งและขี้เกียจเถียง ยืนมองลูกน้องทำตามใจชอบอย่างขาดระเบียบวินัย
ooooooo










