ตอนที่ 5
“เจอแล้วขอรับ” จมื่นศรีสรรักษ์ตอบด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พลางหยิบขวดใส่ยาเล็กๆออกมาให้บอกว่า “กระผมได้ยามาตามที่คุณพี่ต้องการแล้ว แต่หากคุณพี่ต้องการทำเสน่ห์เพิ่มก็ต้องรออีกสองเดือนจึงจะได้ฤกษ์ขอรับ”
เจ้าจอมเพ็ญดีใจมากรับขวดยาไปดูแล้วรีบเก็บไว้ จมื่นศรีสรรักษ์ติงนิ่มๆว่าตนไม่นับถือขรัวผู้นี้เลย ดูเป็นคนเจ้าเล่ห์ แลเราก็เสียทรัพย์ให้ขรัวเถื่อนผู้นี้ไปมากแล้ว นอกจากพร่ำบ่นคาถาแล้วตนยังไม่เห็นจะทำอะไรเลย เจ้าจอมเพ็ญสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ถามเสียงขุ่นว่า
“ดูคุณพระนายจะไม่พอใจในทุกสิ่งที่พี่ทำเลยกระมัง” จมื่นศรีสรรักษ์รีบว่ามิได้ เจ้าจอมเพ็ญถอนใจเสียงอ่อนลงว่า “เรื่องทำเสน่ห์เจ้าไม่เชื่อถือก็ช่างเถิด เอาเป็นว่าพี่เชื่อก็แล้วกัน ส่วนเรื่องทรัพย์สินที่เสียไป เป็นเพียงรายได้ส่วนเล็กน้อยจากที่พี่ได้อยู่ประจำเท่านั้น ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของที่พี่มีเลย”
“นี่คุณพี่มีทรัพย์สมบัติแอบซ่อนอยู่อีกหรือขอรับ”
“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ นอกจากเจ้าที่เป็นน้อง” เจ้าจอมลูบหัวน้องอย่างเอ็นดู “อโยธยารุ่งเรืองเท่าใด พี่ก็ร่ำรวยเท่านั้น แลพี่เชื่อว่าอโยธยายังจำเริญรุ่งเรืองไปชั่วกัลปวสาน ฉะนั้น เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มลำพองใจ ขณะที่จมื่นศรีสรรักษ์ดีใจเมื่อรู้ว่าพี่สาวตนร่ำรวยกว่าที่คิดมาก
ooooooo
ฝ่ายพระเจ้ามังระเรียกประชุมบรรดาขุนนางและแม่ทัพถามถึงเหตุการณ์ที่ทวายและเชียงใหม่ว่าเป็นอย่างไร ขุนนางรายงานว่าเมืองทวายแลนครพิงค์ เชียงใหม่แปรพักตร์จากอังวะไปเข้าด้วยอโยธยาแล้ว
พระเจ้ามังระเจ็บใจที่อังวะวุ่นวายอยู่นาน ทวายกับเชียงใหม่จึงกระด้างกระเดื่อง อะแซหวุ่นกี้เสนอว่า
“ขอเดชะ เราจะละไว้นานหาเป็นการควรไม่ หากไม่ตีเอาทวายแลเชียงใหม่ให้กลับมาอยู่ในอำนาจแล้วไซร้ หัวเมืองประเทศราชอื่นก็จะเอาเยี่ยงอย่างจนเกิดความเดือดร้อนไปทั่วได้พระพุทธเจ้าค่ะ”
พระเจ้ามังระอยากให้ราษฎรได้พักอีกสองสามปีค่อยคิดการศึก แต่จะไม่ออกรบก็จะเป็นอย่างอะแซหวุ่นกี้ว่า จึงเสนอว่า
“เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะสั่งเกณฑ์ทหารจากบรรดาหัวเมืองฉานก็แล้วกัน จะได้ผ่อนภาระชาวอังวะเราได้บ้าง” อะแซหวุ่นกี้เห็นด้วย พระเจ้ามังระจึงสั่งมังมหานรธาผู้เป็นแม่ทัพในวัย 60 ปี ให้ยกทัพสองหมื่นไปยึดเมืองทวายคืนมาให้จงได้ แล้วสั่งเนเมียวสีหบดียกทัพสองหมื่นไปโจมตีนครพิงค์เชียงใหม่
ขุนนางผู้หนึ่งทักท้วงว่าเนเมียวสีหบดีผู้นี้แม้จะมีบิดาเป็นชาวอังวะแต่มีมารดาเป็นชาวล้านนาหาควรส่งไปทำศึกกับล้านนาไม่ ด้วยเกรงจะรบไม่เต็มฝีมือ
เนเมียวสีหบดีเจ็บใจมากเพราะถูกดูถูกมานานว่าไม่ใช่เลือดอังวะแท้ ยกมือไหว้พระเจ้ามังระทันที...
“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าขอเอาชีวิตลูกแลเมียเป็นประกัน หากข้าพระพุทธเจ้ายึดเชียงใหม่มามิได้ ก็ขอพระองค์ทรงตัดศีรษะข้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยลูกเมียเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“ไม่ต้อง” พระเจ้ามังระยิ้มพอใจ “อันหลักการช่วงใช้คนนั้น สำคัญที่ใช้คนไม่ระแวง ระแวงคนไม่ใช้ เนเมียวสีหบดีเป็นหนึ่งในหกสิบทหารเอกที่สมเด็จพ่อข้าแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง เช่นเดียวกับมังมหานรธา ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องรบพุ่งเพื่ออังวะจนสุดฝีมือเป็นแน่”










