ตอนที่ 5
“อ้ายนั่นน่ะ ก่อนที่จะมาเป็นทหารอาสามันเคยเป็นโจรร้ายมาก่อน ทั้งปล้น ฆ่า ข่มขืนกระทำชำเรา คนชั่วช้าเช่นนี้ท่านเจ้าคุณเลี้ยงไว้ได้อย่างไร ไม่ต่างจากเลี้ยงงูเห่าเอาไว้ข้างกาย”
“เป็นพระคุณเหลือเกินขอรับที่ตักเตือนกระผม แต่ก่อนจะรับมา กระผมทราบมาว่าพันหาญผู้นี้เคยเป็นลูกน้องเก่าเสือขุนทองมาก่อน แลเสือขุนทองก็มีชื่อเสียงว่าปล้นแต่คนฉ้อฉลคดโกง แต่ไม่เคยทำร้ายคนอ่อนแอกว่า แลยังกตัญญูต่อบ้านเมือง คราศึกพระเจ้าอลองพญา
ก็อาสาออกศึกจนตัวตาย พันหาญผู้นี้ เท่าที่ดูก็มีน้ำใจไม่ผิดลูกพี่นัก กระผมจึงเลี้ยงไว้ขอรับ” พระยาตากตอบอย่างรู้ทันว่าพระยาพลเทพต้องการอะไร
ขุนแผลงฤทธิ์ติติงว่าท่านเจ้าคุณพูดเช่นนี้เหมือนไม่ไยดีในน้ำใจของพระเดชพระคุณเลย หลวงพิชัยโต้ทันควันว่า หาก ‘ไยดีในน้ำใจ’ หมายถึงต้องทำตามที่สั่งโดยชี้แจงกระไรไม่ได้ ตนกับท่านเจ้าคุณก็คงอับจนคำพูดแล้ว พระยาพลเทพโมโหมองหน้าพระยาตากพูดเหน็บแนมหน้าตายว่า
“ช่างเถิดขุนแผลงฤทธิ์ พระยาตากไม่ใช่คนไทอย่างเรา บางทีธรรมเนียมจีนคงชอบที่จะเลี้ยงคนชั่วไว้ข้างกาย แลไม่เคารพนบนอบต่อผู้หลักผู้ใหญ่กระมัง”
พระยาตากได้แต่ยิ้มบางๆมิได้ต่อปากต่อคำแต่อย่างใด แต่เมื่อออกมาที่ท่าน้ำเรือนพระยาพลเทพแล้ว พระยาตากคุยกับหลวงพิชัยว่า
“คงเสียหน้าที่ฉันเห็นทหารอาสาคนหนึ่งดีกว่าพระยานาหมื่นกระมัง ช่างเถิดอย่าเอามาใส่ใจเลย เพลานี้ เป็นยามศึก ทหารที่ออกรบได้คนหนึ่ง มีค่ามากกว่าขุนนางที่รับราชการด้วยปากมากนัก”
“ท่านเจ้าคุณช่างเปรียบเปรยนัก แต่ไม่ใส่ใจเลยก็คงไม่ได้นะขอรับ กระผมว่าเรารู้คำตอบเรื่องเกณฑ์ทหารเมื่อใด ก็รีบออกจากอโยธยากันเถิดขอรับ” พระยาตากพยักหน้ารับแล้วพากันลงเรือที่บ่าวจอดรออยู่
ขณะเดียวกัน ที่เรือนพระยาพลเทพ ขุนแผลงฤทธิ์เป็นเดือดเป็นแค้นบอกว่าถ้าท่านเจ้าคุณให้กำลังตนสักห้าสิบคน ตนมั่นใจว่าจะฆ่าทิ้งทั้งพระยาตาก หลวงพิชัย และอ้ายหาญได้ พระยาพลเทพเห็นว่าถึงฆ่าได้แต่ก็ได้ไม่คุ้มเสีย คงเกิดความวุ่นวายไม่น้อย ถามว่าแล้วพระยาตากมาที่อโยธยาทำไม
“มาขออนุญาตเกณฑ์ทหารเพิ่มเผื่อต้องรับศึกอังวะขอรับ”
“ไปบอกกลาโหมว่า เมืองตากเป็นเมืองเล็กไม่น่าที่อังวะจะบุกตี ฉะนั้นอย่าให้เกณฑ์ทหารเพิ่ม เกลือกพระยาตากจะคิดคดเป็นกบฏได้...ตายด้วยน้ำมืออังวะเสียเถิดวะ อ้ายพระยาตาก” พระยาพลเทพพึมพำเหี้ยม
ฝ่ายพระเจ้ามังระ วางแผนให้มังมหานรธากับเนเมียวสีหบดียกทัพบีบอโยธยาให้อยู่ตรงกลาง ศึกนี้มิได้หมายยึดครองอโยธยาหากแต่เป็นการทำลายอโยธยา มิให้ฟื้นคืนกลับมาเป็นเสี้ยนหนามต่ออังวะได้อีก
พระเจ้ามังระมีพระบรมราชโองการให้ใช้แผนการรบยืดเยื้อให้ทัพทั้งสองสะสมเสบียงไว้ให้มากเพื่อเคลื่อนพลในหน้าหนาวนี้จะได้มีเวลาทำศึกนานขึ้น ให้ยึดเสบียงแลข้าวของแต่ห้ามทำร้ายผู้คนโดยเด็ดขาด แต่หาก
เมืองใดขัดขืนให้ฆ่าสิ้นเสียทั้งเมืองอย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง
มังมหานรธาและเนเมียวสีหบดียกมือท่วมหัวเอ่ยพร้อมกัน
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
ooooooo










