ตอนที่ 12
หมอตรวจอาการประเสริฐพบว่าเป็นความดันโลหิตสูงเตือนให้ระวังเรื่องความเครียด หลังจากหมอออกไปแล้ว ประเสริฐพูดหน้าเศร้ากับลูกสาวว่า
“พ่อขอโทษที่เป็นภาระให้กับลูก”
“พ่ออย่าพูดอย่างนี้สิคะ พ่อเลี้ยงติ๊มาตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้ถึงเวลาที่ติ๊ต้องดูแลพ่อแล้วนะคะ และติ๊ก็จะดูแลพ่อให้ดีที่สุดค่ะ เดี๋ยวติ๊จะไปรับยา พี่สารภีอยู่กับคุณพ่อก่อนนะคะ พอติ๊ทำทุกอย่างเสร็จจะโทร.หา แล้วติ๊จะเอารถมารับที่ด้านหน้า”
ติ๊ยารีบออกไป แต่ยังไม่ทันถึงจุดรับยาก็เห็นหินกับรตีนั่งคุยกันอยู่มุมหนึ่ง ก่อนหน้านี้รตีขอให้หินพาเธอออกมาสูดอากาศนอกห้อง แล้วเธอก็พยายามคาดคั้นจะเอาคำตอบจากเขาให้ได้ว่าเขายังรักเธออยู่หรือเปล่า
ติ๊ยาไม่ปรากฏตัวให้สองคนเห็น แอบอยู่ห่างๆ
แต่ก็ได้ยินชัดเจนว่ารตีพูดอะไรกับหิน
“ทำไมคุณไม่ตอบรตี คุณยังรักรตีอยู่ไหม ถ้าหาก
รตีจะไม่สวยแล้ว...คุณจะไม่รักรตีไม่ได้นะ คุณต้องรักรตี จำไม่ได้เหรอคุณเคยบอก คุณเคยบอกรตีว่าต่อให้รตีหน้าตาน่าเกลียดแค่ไหนคุณก็จะรักรตี คุณโกหกรตีเหรอ คุณโกหกรตี...”
รตีสภาพจิตใจแย่มาก โวยวายคิดฟุ้งซ่านจนหินต้องจับมือสองข้างของเธอไว้ ปลอบให้ใจเย็น อย่าคิดมาก
“คุณบอกมาสิว่าคุณรักรตี...คุณรักรตี”
เมื่อหินไม่ตอบ รตีกรีดร้องร่ำไห้ราวกับคนเสียสติ หินไม่รู้จะทำยังไงจำต้องตอบออกไปว่า
“ครับๆ ผมรักรตี”
ติ๊ยาได้ยินแล้วอึ้ง น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ooooooo
เช้าวันถัดมา สุนีย์ที่ยังรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลร่ำร้องอยากกลับบ้านไปขายข้าวแกง บอกน้ำว่าขืนแม่อยู่ที่นี่นานกว่านี้จะหาเงินที่ไหนไปใช้คิมหันต์ได้หมด
น้ำถอนใจเฮือกก่อนจะเผลอบ่นออกมา “ต้องบอกว่าต้องขายข้าวแกงอีกกี่ชาติถึงจะใช้หนี้อีตาคิมนั่นหมดต่างหากล่ะแม่”
“ว่าไงนะน้ำ ค่าโรงพยาบาลมันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อ๋อ...เปล่าๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก น้ำก็แหย่แม่เล่น เออแม่ น้ำอยากกินติม แม่เอาด้วยมั้ย เดี๋ยวน้ำซื้อมาฝาก”
“ไหนบอกหมอไม่ให้แม่กินอะไรหวานๆ”
“จริงด้วย น้ำลืม งั้นแม่นอนพักก่อนนะ เดี๋ยวน้ำมา”
น้ำประคองแม่ลงนอนแล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่เห็นหินที่ยืนหลบมุม พอน้ำพ้นไปแล้วหินก็ก้าวเข้ามายืนมองแม่ตรงหน้าประตูห้อง พูดพึมพำว่า
“แม่ครับ...ผมจะหาเงินมาใช้คืนให้ไอ้คิมทุกบาททุกสตางค์ แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ”
หินไม่กล้าเข้าไปเยี่ยม ตัดสินใจหันหลังกลับ
แต่ต้องชะงักเพราะน้ำยืนมองตาขวาง เธอย้อนกลับมาเพราะลืมของ หินกลัวแม่จะเห็นรีบคว้ามือน้องสาวจูงไปหลบมุมคุยกัน
“พี่หินหายไปไหนมา รู้ไหมน้ำเป็นห่วงจนแทบบ้า”










