ตอนที่ 3
“สิบบาท...แค่สิบบาทกินเหล้ายังไม่พอเลย”
“อยากมีมากกว่านี้ก็ต้องทำงาน”
“แล้วเราจะติดต่อกันได้ยังไง”
“พี่จะให้นายเมฆมาหาแกเดือนละครั้ง จำไว้พี่จะมาหลังวันเพ็ญ เอาล่ะ...เข้าใจดีแล้วพี่จะกลับล่ะ”
“อ้าว...ไปง่ายๆเลยหรือ”
“พี่มีผัวที่ต้องคอยดูแลเอาใจใส่”
“เอาใจใส่ให้ดี ระวังมันจะมีเมียใหม่ ผู้ชายมันสันดานเดียวกันหมด เห็นใครสวยมันอดไม่ได้”
เดือนดาราหน้าเจื่อนเล็กน้อยแต่ทำเหมือนไม่หวั่นไหว “แต่ไม่ใช่ผัวพี่แน่นอน”
เด่นแสยะยิ้ม มองพี่สาวอย่างรู้ทัน “ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ผู้ชายมันใจง่ายทั้งนั้น ไม่สวยมันก็ยังจะเอา ทุกนารีงามสรรพเมื่อดับไฟ ขี้เหร่แค่ไหนใช้ได้หมด มิเคยได้ยินรึ”
“อย่าพล่าม!”
ooooooo
เดือนดารามั่นใจว่าเสน่ห์ของตนจะมัดใจแสงได้ ไม่ได้ระแวงเลยว่าผัวจะแอบปันใจทีละน้อยให้แม่ค้าขายขนมหวานอย่างพลอย...เพราะความสงสารและเห็นใจเป็นเหตุแท้ๆ
สำลีก็ตกในสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจไม่แพ้เดือนดารา เพราะอดใจไม่ไหวใช้มนตร์ดำขโมยเลือดมาทำพิธีเพื่อความเป็นอมตะทุกคืนวันเพ็ญจนพวกชาวบ้านตายเป็นจำนวนมาก
พวกชาวบ้านต่างหวาดระแวงและเริ่มสงสัยพฤติกรรมแปลกๆของสำลีที่ไม่มีอาชีพเป็นหลัก
เป็นแหล่ง แถมเก็บเนื้อเก็บตัวจนไม่น่าไว้ใจ กระทั่งมีพวกชาวบ้านบางคนที่ใจกล้าเอาน้ำมนต์ของหลวงปู่มั่นไปสาดหน้ากระท่อม
สำลีโกรธมาก กระนั้นก็ไม่หยุดใช้มนตร์ดำ ทำพิธีขโมยเลือดกลอย...หญิงชาวบ้านในคืนวันเพ็ญถัดมา พ่อแม่ของกลอยเสียใจมาก กระนั้นก็ยังมีสติพิจารณาศพลูกสาว
“เหมือนกับรายอื่นๆที่โดนมาก่อนหน้านี้ ตายอาการเดียวกันหมด”
แม่ของกลอยพยักหน้า “ใครๆก็พูดกันว่า
มันมีตัวเสนียดกาลกิณีมาอยู่ในหมู่บ้านเรา กลอยมันพยายามจะเอ่ยชื่อใครกัน แต่มันพูดไม่ทันจบมันเรียกไอ้สำ...”
พ่อของกลอยนิ่วหน้าก่อนเบิกตาโพลง
“ไอ้สำลี! ไอ้สำลีมันเป็นหมอผีมันมีมนตร์ดำ พอมันมาอยู่ที่นี่จึงเกิดเหตุ กูจะไปฆ่ามึงไอ้สำลี!”
สำลีที่กำลังย่ามใจเพราะขโมยเลือดสำเร็จ ตั้งท่าจะดื่มเพื่อความเป็นอมตะ แต่ก็ต้องตกใจแทบผงะเมื่อมีพลังประหลาดสีทองพุ่งมาชนแก้วบรรจุเลือดแตกกระจาย
“ใครมาลองดีกับข้าอีกแล้ว ออกมาสำแดงตัวสิวะ อย่าทำเป็นหลบๆซ่อนๆ”
ไม่มีเสียงตอบ สำลีแค้นใจมาก มองแก้วบรรจุเลือดด้วยความเสียดาย
“หมดกัน กว่าจะทำแบบนี้ได้อีกต้องรอไปจนวันเพ็ญหน้า”
ooooooo
เดือนดาราจะไปเยี่ยมเด่นตามนัดหลัง
คืนวันเพ็ญ โดยมีนายเมฆไปส่ง พริ้งตามมาส่งเจ้านายด้วยแววตาละห้อย เดือนดาราถอนใจหน่ายๆ เตือนคนสนิทให้ระวังตัวและปากให้ดี
“แกก็พูดให้มันน้อยๆ อย่าแกว่งปากหามือหาตีนไปหน่อยเลย ยิ่งฉันไม่อยู่ด้วย”
“ก็พวกมันคอยด่าพริ้ง ด่ามาถึงคุณผู้หญิงแบบตีวัวกระทบคราด พริ้งก็ต้องหันไปกัดกับมันสิ เจ้าคะ มันเรียกคุณผู้หญิงลับหลังว่าคุณผู้หญิงนางโลมอยู่เรือนคณิกา”
“ยัยเอิบละสิเป็นตัวตั้งตัวตี ไอ้อีพวกนั้นก็ว่าตาม”
“ใช่เจ้าค่ะ หัวไม่ส่ายหางก็ไม่กระดิกเจ้าค่ะ”
พริ้งทำตัวเป็นบ่างช่างยุ เดือนดาราไม่เต้นตาม แต่ก็ไม่ไว้ใจสถานการณ์ที่บ้าน
“แกไปสืบความมาระหว่างฉันไม่อยู่...ไปฟังมาให้หมดว่าใครมันนินทาฉันลับหลังว่าอย่างไร”
“เจ้าค่ะ อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน มันไม่จริงเจ้าค่ะ สำหรับพริ้งฟังแล้วเหมือนเอามีดมากรีดใจ พริ้งทนไม่ได้ พริ้งเลยต้องไปสำทับสู้กับมัน”
“ขอบใจ ระวังตัวให้ดี แกมีคนเดียวจะสู้ ไหวไหม”
“จริงสิเจ้าคะ พริ้งหัวเดียวกระเทียมลีบมากจนเหี่ยวฝ่อเวลาไปที่โรงครัว เฮ้อ...”
“แค่แอบฟัง ไม่ต้องออกไปเสนอหน้า...จำไว้!”
เดือนดาราไปเยี่ยมเด่นวันเดียวกับที่พวกชาวบ้านตัดสินใจจะไม่ทน โดยเฉพาะพ่อของกลอย บุกไปถล่มกระท่อมของสำลีและเผากระท่อมจนราบเป็นหน้ากลอง!
สำลีหนีตายอย่างหัวซุกหัวซุน ก่อนจะไปนอนหมดสติที่ริมถนนไม่ใกล้ไม่ไกลจากกระท่อมของเด่น เดือนดาราร้อนใจมากเพราะไม่เจอน้องชายที่บ้าน ไม่รู้เลยว่าเวลาเดียวกันนั้นเด่นไปเมาแอ๋และมีเรื่องกับคนที่ตลาด
เดือนดาราตามหาน้องชายจนทั่วกระท่อมแต่ไม่พบแม้แต่เงา เริ่มนั่งไม่ติดเพราะกลัวอีกฝ่ายมีเรื่อง กระทั่งเย็นย่ำกลัวผัวเป็นห่วงจึงตัดสินใจกลับ แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้เธอได้เจอสำลีที่นอนสลบข้างทาง!
หลวงปู่มั่นนั่งทางในเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง โดยเฉพาะการเจอกันระหว่างเดือนดารากับสำลี
“กรรมใดใครก่อมันผู้นั้นต้องรับกรรม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร มนุษย์หนอ...ชอบก่อเวรกรรมวนเวียน”
ooooooo
พวกชาวบ้านคิดว่าสำลีคงถูกไฟไหม้ตายคากระท่อมไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าหมอผีชราจะกระเสือกกระสนหนีมานอนสลบที่ริมถนน กระทั่งรถของเดือนดาราผ่านมาเห็น!
นายเมฆหยุดรถเพราะมีร่างชายชรานอนขวาง เดือนดารากลัวเป็นน้องชายเลยจะรีบไปดู นายเมฆรีบร้องห้าม
“อย่านะขอรับ เผื่อเป็นกลลวงมาหลอกเล่นงาน”
“ฉันไม่สนใจ ฉันห่วงน้องชายฉัน ถ้าเกิดเป็นน้องชายฉันแล้วไม่ช่วย ฉันก็เท่ากับทิ้งเขาให้ตายกลางถนน”
เดือนดาราไม่สนใจใคร กระโจนพรวดไปดูร่างชายชราปริศนาแล้วเอามืออังจมูก
“ยังไม่ตาย ยังหายใจอยู่”
“ผมว่าไม่รอด ไปเถอะขอรับ”
“ไม่ไป ฉันอยากช่วยเขา”
“เราไม่รู้จักมันนะขอรับ”










