ตอนที่ 3
สองตำรวจเดินตัวลีบลงจากรถ ใหญ่พูดกับผู้โดยสารทั้งหมดว่า
“ผมขอโทษทุกท่านด้วยครับ จำเป็นต้องทำความเข้าใจกัน แต่ผมจะไม่ทำให้เสียเวลามากนัก”
ooooooo
ข้างถนนซึ่งเป็นด่านตรวจ ตำรวจทุกคนยืนเข้าแถวสีหน้าไม่สู้ดีเนื่องจากรู้ตัวว่าพลาดครั้งใหญ่
ใหญ่ลงมายืนต่อหน้าทุกคน แล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงปกติ สีหน้าเรียบนิ่ง
“เอาละ ยืนตามสบาย...ผมคือพันตำรวจตรีใหญ่ เวโรจน์ สารวัตรคนใหม่ของพวกคุณ ผมยังไม่รับงาน แต่เดินทางมาพระลานเพื่อจะมาศึกษาสถานการณ์ก่อนที่จะมารับตำแหน่ง ผมเสียใจนะที่เราต้องมาพบกันและรู้จักกันในสถานการณ์อย่างนี้ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นประโยชน์ที่จะทำให้ผมได้รู้ว่าพวกคุณทำงานยังไง”
ดาบหมูพูดอ้อมแอ้มแก้ตัวว่าพวกเราไม่รู้จักสารวัตรและไม่รู้ว่าสารวัตรจะมา
“แน่ละ ถ้าคุณรู้จักผมหรือรู้ว่าผมจะมา คุณก็คงไม่ต้อนรับผมแบบนั้น ก่อนอื่นขอบอกให้รู้ว่าผมไม่ได้โกรธ หรือคิดว่าจะลงโทษลงทัณฑ์พวกคุณเลย ผมรู้ว่าคุณขึ้นไปบนรถด้วยเจตนาดี คุณขึ้นไปเพื่อที่จะทำหน้าที่ป้องกันอาชญากรรมด้วยการตรวจหาคนหรือของที่ผิดกฎหมาย แต่พวกคุณบกพร่องในสองประการด้วยกัน...”
“ประการที่หนึ่ง คุณปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ถูกกฎหมาย ผมไม่ทราบว่าคุณจำกันได้หรือเปล่า มาตรา 93 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ห้ามมิให้ค้นของใครๆในที่สาธารณสถาน นอกจากมีเหตุอันควรสงสัยว่าใครมีของอยู่ในครอบครองเพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือเป็นของที่ได้มาโดยกระทำผิด หรือเป็นของที่มีไว้แล้วกฎหมายถือว่าเป็นความผิด...คุณขึ้นไปบนรถแล้วค้นดะไปเลย โดยไม่ปรากฏชัดว่าคุณมีเหตุอันควรสงสัยยังไง ข้อไหน คุณค้นสุ่มๆไปเผื่อเจอะเท่านั้น หรือใครจะเถียงว่าที่ผมพูดไปนี่ผิด”
ตำรวจทุกคนนิ่งเงียบยอมรับ ใหญ่จึงร่ายยาวต่อไป
“บางทีพวกคุณบางคนอาจจะได้รับรายงานว่าผู้โดยสารมีของที่เตรียมไปประกอบอาชญากรรมหรือของที่ลักขโมยเขามา หรือของผิดกฎหมาย มีไหมครับ มีใครได้รับรายงานหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบจากทุกคน ใหญ่ถอนใจหนักๆ ก่อนจะอธิบายกึ่งตำหนิ
“ข้อบกพร่องประการที่สอง คุณมากันแค่หยิบมือเดียว แล้วคุณก็ตามกันขึ้นไปบนรถเหมือนเล่นงูกินหาง คุณรู้ได้ยังไงว่าบนรถจะมีผู้ร้ายหรือไม่มี และถ้ามีแล้วมันก็มีปืนอย่างผม”
ใหญ่ชักปืนออกมาประกอบคำพูด ตำรวจทุกคนจับตามองด้วยความรู้สึกทึ่งจัด
“มันจะยิงพวกคุณตายหรือเจ็บกันทั้งหมด การปฏิบัติหน้าที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองไว้ทุกลมหายใจเข้าออก คุณต้องรู้ว่ากว่าคุณจะโตมาเป็นนายดาบ นายสิบตำรวจกันอย่างนี้ กรมตำรวจลงทุนลงแรงไป คิดเป็นจำนวนไม่น้อย และทุกบาททุกสตางค์มันก็คือภาษีอากร หยาดเหงื่อของประชาชน คุณต้องถนอมและรักษาชีวิตและร่างกาย จะเสี่ยงก็ต่อเมื่อจำเป็นหรือคำนวณดูแล้วว่ามันคุ้มที่จะเสีย และหากคุณเดินลอยชายด้วยความชะล่าใจเข้าไปให้ผู้ร้ายยิงตายหรือบาดเจ็บ ถึงแม้จะได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นวีรบุรุษ แต่คุณจะภูมิใจได้อย่างไร เพราะคำว่าวีรบุรุษมันมาจากความประมาทเลินเล่อ คนอื่นไม่รู้ แต่ตัวคุณน่ะรู้ดี...”










