ตอนที่ 15
“ขอหนูคิดก่อนแล้วกัน”
“แกไม่มีเวลาคิดแล้ว แกต้องไปบ้านป้าลัดดาเดี๋ยวนี้” ศรีรุ้งคว้าแขนลูกสาว แต่โดนสะบัดออกอย่างหงุดหงิด
“อะไรของแม่เนี่ย”
“นี่! อย่าทำมาฮึดฮัดปากดีนะ”
“ทำไมจะทำไม่ได้”
ศรีรุ้งตัดสินใจเปิดกระเป๋าหยิบกระดาษ
หมายศาลแปะไปที่หน้าการบูรทันที
“ดูซะ!! เมื่อวานฉันได้หมายศาล ฉันโดนฟ้องล้มละลาย ธนาคารจะมายึดบ้านแล้ว แกต้องไปหาป้าลัดดาวันนี้ ทำยังไงก็ได้ให้ป้าช่วยเรา”
การบูรผงะ...หลังอ่านข้อความในหมายศาลก็ยืนตะลึงจนพูดไม่ออก
ooooooo
อาริสาพยายามหาอะไรทำเพื่อให้ลืมเรื่องป้องกุล วันนี้เธอไปซื้อกล้วยไม้มาใหม่และจัดแต่งแขวนแทนอันเก่าๆ เขมใส่ชุดพยาบาลจะไปเข้าเวรบ่ายเดินมาหยุดยืนมอง
“จะไปเข้าเวรแล้วเหรอเขม”
“ใช่...เธออยู่คนเดียวได้ไหม”
“ได้สิ ไม่ต้องห่วงหรอก กว่าฉันจะเปลี่ยนกล้วยไม้เสร็จก็หมดวันแล้ว”
“ฉันว่าเธอออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างมั้ย จมอยู่แต่ในบ้านมันพานจะฟุ้งซ่านเอานะริสา ไอ้ที่เธอหาอะไรมาทำเพื่อฆ่าเวลามันอาจจะไม่ได้ช่วยให้เธอลืมเด็กคนนั้นได้หรอกนะ”
เขมพูดตรงจี้ใจดำเกินไปจนอาริสาสะอึก เอ่ยเสียงเศร้าว่าตนกำลังพยายามอยู่ เมื่อเขมออกจากบ้านไป อาริสาเดินมาปิดประตูรั้วให้ แต่พอจะหันกลับเข้าบ้านต้องหยุดชะงักกับเสียงวัยรุ่นหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ดังแว่วมา
สองคนยืนพิงมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างรั้วบ้านถัดไป ในมือถือห่อผัดไทยแบ่งกันกินอย่างเอร็ดอร่อยและพูดกระเซ้าเย้าแหย่ไปด้วย ภาพนั้นทำให้อาริสาอดคิดถึงป้องกุลไม่ได้ เธอกับเขาเคยกินผัดไทยด้วยกัน
ที่ริมแม่น้ำ
อาริสาพยายามสลัดความรู้สึกนึกคิดนั้นออกไปแล้วรีบเดินเข้าบ้าน และเพื่อตัดใจจากป้องกุลให้ได้เธอตัดสินใจนำรูปกับช่อดอกไม้ใส่กล่องเอาไปคืนเขาเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดวนเวียนแต่เรื่องเดิมๆอีก
ขณะเดียวกันนั้นป้องกุลเองก็คิดจะลบอาริสาออกจากใจให้เด็ดขาด จึงจัดห้องนอนใหม่และนำรูปภาพสวยงามมาแขวนตรงจุดที่เคยมีรูปอาริสา เกศิรินเข้ามาเห็นลูกสาละวนเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ก็ทักถาม
“ทำอะไรน่ะลูก”
“ผมก็แค่อยากจัดห้องใหม่ให้กับชีวิตใหม่”
เกศิรินรู้ทันทีว่าลูกชายคิดอะไร ท้วงเสียงอ่อนว่า “ต่อให้จัดห้องใหม่หรือเปลี่ยนบ้านใหม่ ถ้าใจป้องไม่เปลี่ยน อะไรก็ช่วยไม่ได้นะลูก”
ป้องกุลชะงัก...แล้วยกของย้ายต่อทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร “ใจผมเปลี่ยนไปนานแล้วครับ”
“แม่ก็หวังอย่างนั้น เพราะป้องคิดถึงเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาไม่เคยรักป้องเลย ริสามาทำดีกับป้องเพื่อใช้ป้องแก้แค้นแม่”
ป้องกุลวางของในมือลงอย่างแรงแล้วหันขวับมองเกศิรินด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ผมรู้แล้วครับ ผมเป็นแค่เครื่องมือของเขา ไม่ใช่คนที่เขารัก คนที่เขารักมีคนเดียวคือหมอเอกภูมิ”
“ป้อง...แม่ขอโทษที่ทำให้ป้องต้องมาเจ็บเพราะแม่”
“ไม่ใช่เพราะแม่หรอก เป็นเพราะผมโง่เอง” พูดจบป้องกุลเดินหนีเข้าห้องน้ำ เกศิรินมองตามด้วยความเป็นห่วง...
ooooooo
อาริสานั่งแท็กซี่มาลงหน้าบ้านป้องกุลพร้อมกล่องใบหนึ่ง ตั้งใจเอาของมาคืนเขาเพื่อจบเรื่องระหว่างเธอและเขาสักที เวลานั้นป้องกุลกำลังอาบน้ำ เขายืนร้องไห้ใต้ฝักบัวอย่างเจ็บปวด ...เขาคิดถึงอาริสาอย่างตัดไม่ขาดแต่ไม่อยาก
ร้องไห้ให้แม่เห็น
อาริสายืนมองประตูบ้านนิ่งอยู่นานอย่างสับสนในใจ จะเข้าไปข้างในดีไหม หรือจะแค่วางกล่องไว้ หน้าบ้านแล้วไปเสีย
ป้องกุลอาบน้ำเสร็จนุ่งผ้าขนหนูออกมาแต่งตัวแล้วเดินผ่านหน้าต่างไปมาครู่หนึ่งก่อนจะหยุดกึกเมื่อมองออกไปเห็นอาริสากำลังวางกล่องตรงหน้าบ้าน
“ริสา!!” ป้องกุลอุทานเสียงแผ่วแล้ววิ่งออกจากห้องทันที
เกศิรินอยู่ในห้องรับแขกเห็นลูกชายวิ่งลงบันไดมาด้วยท่าทีรีบร้อนแล้วตรงไปหน้าบ้านก็ลุกขึ้นยืนมองตามอย่างแปลกใจ
อาริสาเดินออกจากหน้าบ้านไปได้ไม่ไกล ป้องกุลเปิดประตูรั้วออกมาเห็นหลังไวๆแล้วจะวิ่ง
ตาม แต่เสียงเรียกของเกศิรินดังด้านหลังทำให้เขาหยุดชะงักอยู่กับที่
“ป้อง! ป้องออกมาทำอะไร”
“คือ...ไปรษณีย์มาส่งของน่ะครับ”
เกศิรินไม่เชื่อและอยากรู้ว่าในกล่องมีอะไรจึงทำทีอาสา “งั้นแม่ช่วยเอาเข้าบ้าน”
“ไม่เป็นไรครับแม่” ป้องกุลพูดพร้อมคว้า
กล่องนั้นมาถือ “ผมเข้าบ้านก่อนนะครับ”
เกศิรินไม่พูดอะไรอีกแต่จับสังเกตได้ว่าลูกชายมีพิรุธมากคาดว่ากล่องนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับอาริสาแน่ๆ เธอคิดว่าป้องกุลยังไม่ลืมอาริสา และมีแนวโน้มจะกลับไปหาอีก ซึ่งเธอไม่มีวันยอมเสียทั้งหมอเอกและลูกชายให้อาริสาอย่างแน่นอน
ฉับพลันคำพูดของสุนิดาก่อนหน้านี้ก็ผุด
ขึ้นมาตอกย้ำให้เกศิรินต้องคิดหนักยิ่งขึ้นไปอีก
“วันนี้มึงเสียผัว ระวังมึงจะเสียลูกชายให้ริสาด้วย คิดว่ามึงจะชนะริสา...ไม่ใช่เลย มึงแพ้”
เกศิรินเม้มปากแน่น คิดหาทางทำให้ป้องกุลตัดอาริสาออกจากชีวิตให้ได้ โดยไม่รู้เลยว่าเวลานี้ป้องกุลกำลังน้ำตาปริ่ม ทรุดลงนั่งอย่างเจ็บปวดหลังเปิดกล่องเห็นของที่อาริสาเอามาทิ้งไว้หน้าบ้าน...
ooooooo
อาริสานั่งแท็กซี่ไปลงหน้าบ้านหลังใหญ่ของลัดดาพร้อมตะกร้าของเยี่ยม แต่การบูรที่มาถึงก่อนกำลังเผชิญหน้ากับลัดดาอยู่ในบ้านแล้ว
การบูรสังเกตสีหน้าท่าทีลัดดาเงียบขรึม
ไม่สนิทอย่างเมื่อก่อน รู้ว่าต้องโกรธที่ตัวเอง










