ตอนที่ 13
ขณะเดียวกันนั้นหมอเอกยังอยู่ที่บ้าน กำลังมองรูปป้องกุลกอดเกศิรินที่ได้มาจากการบูร...เขาคิดไม่ตกว่าควรบอกอาริสาดีหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เธอเพิ่งบอกรักป้องกุลหลังจากโดนเขาถาม
“ริสารักเด็กคนนั้นจริงๆใช่ไหม”
“ค่ะ รักทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ถูก รักทั้งๆที่รู้ว่าต้องได้ยินแต่คนนินทา แต่ริสาก็ยังรักเขา”
คำตอบประโยคนั้นทำให้หมอเอกเป็นห่วงอาริสามาก ถ้ารู้ว่าป้องกุลมายุ่งกับเกศิรินแบบนี้ อาริสา จะเป็นยังไง? หมอเอกตัดสินใจว่าคนที่ตนควรไปคุยด้วยคือเกศิริน อยากรู้ว่าเธอรู้จักป้องกุลได้ยังไง และจะขอให้เธอเลิกยุ่งกับป้องกุลเพื่ออาริสา...
ที่ร้านอาหาร เกศิรินยังคงก้มหน้าหลบสายตาป้องกุล เธอทุกข์ใจและเจ็บปวดแต่ไม่อยากร้องไห้ให้ลูกเห็นจึงเปลี่ยนเรื่อง
“เรื่องแม่ไม่สนุกหรอก คุยเรื่องลูกดีกว่า แม่ถามป้องอีกอย่างได้ไหม แฟนป้องทำงานอะไร”
เกศิรินเห็นชุดพยาบาลในกระเป๋าใบนั้นแล้ว แต่จะตะล่อมถามต่อว่าแฟนป้องกุลเป็นพยาบาลที่ไหนเพื่อจะแอบไปดูหน้าตาด้วยตัวเอง ป้องกุลตัดสินใจไม่ตอบเพราะเสี่ยงถึงอาริสาเกินไป
“เรื่องของผมก็ไม่สนุกหรอกครับ”
“แต่แม่อยากฟัง”
“ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ป้องกุลตัดบทแล้วลุกไปดื้อๆเพื่อไม่ให้เกศิรินถามจี้อีก
เกศิรินรู้ทันว่าลูกไม่อยากตอบคำถาม...จังหวะนี้โทรศัพท์มือถือเธอดังขึ้นพอดี เห็นชื่อหมอเอกโทร.มาก็รับสายด้วยน้ำเสียงปกติ
“ฮัลโหลค่ะหมอ”
“คุณว่างไหม ผมมีเรื่องสำคัญมากต้องการคุยกับคุณวันนี้”
เกศิรินฟังน้ำเสียงหมอที่จริงจังมากแล้ววิตกกังวลว่าเขาจะรู้เรื่องตัวเองแท้งแต่ทำเฉยไว้...ตอบด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด
“ได้ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
ระหว่างนั้นเองศรีรุ้งและการบูรเดินเข้ามาในร้านอาหารแล้วเห็นเกศิรินโดยบังเอิญ จึงเดินเฉียดมากระแซะเพื่อเอาคืนให้บ้างเพราะคิดว่าตัวเองมีหลักฐานเด็ดอยู่ในมือ
“สวัสดีค่ะพี่เกศ ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันที่นี่”
“จริงๆนี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะลูกที่ลูกบังเอิญเจอเกศ” ศรีรุ้งกระทุ้งเข้าไปอีกเพื่อให้ลูกสาวเดินเกมต่อ
“จริงด้วยค่ะ เมื่อคืนบูรก็บังเอิญเจอพี่เกศ”
เกศิรินมองสองแม่ลูกอย่างหงุดหงิด “ถ้ามาร้านอาหารเพราะหิวก็เชิญไปหาที่นั่งแล้วสั่งอาหาร แต่ถ้ามาเพราะปากว่าง เลยวอนหาอะไรยัดปาก งั้นก็พูดต่อไปค่ะ เผื่อฉันจะช่วยให้ปากหายว่างได้”
พูดจบเกศิรินตั้งใจยกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วกระดิกรองเท้าเล่นให้สองแม่ลูกรู้ว่าจะโดนยัดปากด้วยอะไร? ศรีรุ้งแอบกลัวจึงถอยห่างจากเกศิริน แต่การบูรไม่กลัวยังจีบปากพูดต่อไป
“บูรไม่ได้พูดเพราะปากว่าง แต่กำลังพูดเรื่องจริง เมื่อคืนพี่อยู่ไหน บูรก็เจอพี่ที่นั่นแหละค่ะ”
เกศิรินชะงัก สงสัยและระแวงว่าหมอเอกรู้อะไรจากการบูร แต่ยังกล้าท้าทาย
“ไหนๆจะพูดแล้ว ก็กล้าพูดให้ชัดๆหน่อย”
“เธอน่าจะรู้ดีว่าเธอกลับคอนโดเพื่ออะไร” ศรีรุ้งตอบโต้เสียงขุ่น การบูรยิ้มสะใจที่เอาคืนเกศิรินได้ ตั้งคำถามออกไปอย่างเป็นต่อ
“พี่กำลังปิดบังอะไรพี่เอกไว้ล่ะคะ”
เกศิรินลุกพรวดด้วยความโมโห แผดเสียงใส่สองแม่ลูกว่าพูดบ้าอะไรกัน...การบูรยืนนิ่ง จ้องมองที่ท้องเกศิรินด้วยสายตายิ้มเยาะ
“ท้องแบนจัง ไม่รู้เพราะพี่ผอมเลยดูไม่ออกว่าพี่ท้อง หรือเพราะจุดจุดจุด...กันแน่”
เกศิรินเริ่มกลัวว่าสองแม่ลูกจะรู้ความลับของตน แต่พยายามนิ่งไว้
“ความลับมันไม่มีในโลก” ศรีรุ้งพูดโพล่ง การบูรฉีกยิ้มให้แม่แล้วเย้ยเกศิรินอีก
“ไปทานร้านอื่นดีกว่าค่ะ ระดับเราไม่เหมาะจะกินอาหารร้านเดียวกับ...” การบูรเว้นวรรคคำพูดไว้ แต่ใช้สายตามองเกศิรินหัวจดเท้า ก่อนควงแขนศรีรุ้งเดินออกจากร้านอาหารไป
เกศิรินมองตามสองแม่ลูกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
...กังวลว่าเรื่องตัวเองแท้งยังเป็นความลับอยู่หรือไม่?
ooooooo
หลังจากนั้นไม่นานเกศิรินขับรถมาจอดหน้าบ้านลัดดาด้วยความร้อนใจ แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าบ้านก็เจอลัดดาสวนออกมาเหมือนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว โดยมียิ้มถือกระเป๋าเสื้อผ้าของเกศิรินมาด้วย
“เอากระเป๋าเสื้อผ้าฉันมาทำไม”
ลัดดายิ้มเยาะแล้วหันไปคว้ากระเป๋าจากยิ้มมาโยนลงพื้นตรงหน้าเกศิริน
“เอามาโยนให้แกไง คิดจะตอแหลลูกชายฉันเหรอ เสียใจนะ ฉันฉลาดกว่าที่แกคิด”
“คุณแม่พูดอะไร เกศไม่รู้เรื่อง”
“แกไม่ต้องมาปั้นหน้าตอแหลใส่ฉัน ออกไปจากบ้านฉัน” ลัดดาไม่พูดเปล่า แต่ออกแรงผลักเกศิรินแทบล้มถ้าหมอเอกไม่วิ่งมาขวางไว้
“คุณแม่ทำอะไรเนี่ย ถ้าเกศล้มไปจะเป็นยังไง คุณแม่ก็รู้ว่าเกศกำลัง...”
“มันไม่ได้ท้อง!!!!”
เกศิรินตกใจ แต่พยายามเก็บอาการนิ่งไว้ หมอเอกไม่เชื่อที่ลัดดาพูดเพราะรู้ว่าแม่คอยหาเรื่องเกศิรินอยู่แล้ว
“พอเถอะครับคุณแม่ ผมขอร้อง เลิกสร้างเรื่องให้ครอบครัวของผมพังสักที”
“เอกว่าแม่ตอแหลเหรอ”
“คุณแม่...”
“คนที่สร้างเรื่องไม่ใช่แม่ แต่เป็นอีลวงโลกนั่น เมื่อเช้าแม่เห็นแกช็อกกับรูปนังเกศ เลยลืมบอกเรื่องสำคัญอีกอย่าง นังเกศไม่ได้แค่แอบนอนกับผู้ชายคนอื่นอย่างเดียว แต่มันท็อปกว่านั้นตรงที่มันโกหกว่าท้องทั้งๆที่มันแท้งแล้ว”
เกศิรินยังนิ่งไว้ ถ้าหมอไม่ตรวจจนรู้ผล เธอก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาด ส่วนหมอเอกมองลัดดาอย่างเจ็บปวด ไม่เชื่อแม่อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าแม่จะพูดถึงขนาดนี้










