มีคนถามมาเยอะเรื่องเครื่องบินฝรั่งเศสกับเครื่องบินจีนที่ปฏิบัติการยุทธเวหาระหว่างอินเดียกับปากีสถาน เมื่อ 7 พฤษภาคม 2025 วันนี้ขอตอบครับเครื่องบินขับไล่ J-10 C Vigorous Dragon ของจีนที่ใช้โดยกองทัพอากาศปากีสถาน ยิงเครื่องบิน Rafale ของกองทัพอากาศอินเดียจนตกไป 3 ลำ เรื่องนี้พลิกความคาดหมาย ก่อนหน้านี้คนมองว่า J-10 C เทียบไม่ได้กับ F-16 หรือ F/A18 ของสหรัฐฯ หรือแม้แต่เครื่องบินของยุโรปประเทศอื่นๆจีนไม่ค่อยได้มีเรื่องกับใคร และไม่ค่อยมีใครกล้าซื้อเครื่องบินจีนมาใช้จึงไม่ค่อยเคยแสดงศักยภาพ แม้อินเดียจะยังไม่ได้ยืนยันการสูญเสียอย่างเป็นทางการ แต่เป็นที่รู้กันว่าเครื่องบินขับไล่ Chengdu J-10 C ของปากีสถานสามารถยิงเครื่องบินรบ Rafale ของอินเดียตกได้อย่างน้อย 1 ลำ และอาจมีมากถึง 3 ลำ ตามการอ้างของรัฐมนตรีกลาโหมปากีสถาน Dassault Rafale ของกองทัพอากาศอินเดีย เป็นเครื่องบินรบมัลติโรล รุ่นที่ 4.5 ที่มีสมรรถนะสูงและเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งกองทัพอากาศอินเดียได้จัดหา Rafale 36 ลำจากฝรั่งเศสใน ค.ศ.2016 และนำเข้าประจำการใน ค.ศ.2020 Rafale มีความเร็วสูงสุด 1.8 มัค (2,222 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เพดานบินสูงสุด 50,000 ฟุต รัศมีปฏิบัติการกว่า 1,000 กิโลเมตร ใช้ระบบเรดาร์ RBE2-AA AESA (Active Electronically Scanned Array) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับและติดตามเป้าหมาย มีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ SPECTRA ซึ่งให้การป้องกันและเตือนภัยจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธขีปนาวุธหลักของ Rafale คือขีปนาวุธอากาศสู่อากาศระยะไกล Meteor ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ MICA ขีปนาวุธครูซ SCALP-EG สำหรับโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน ระเบิดนำวิถี AASM Hammer และปืนใหญ่อากาศ 30 มม.Dassault Rafale จากฝรั่งเศส ราคา 100-220 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ (3.3-7.3 พันล้านบาท) ต่อเครื่อง อินเดียมี Rafale ประจำกองทัพ 36 ลำ ค.ศ.2025 อินเดียสั่งซื้อเพิ่มอีก 26 ลำ 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.46 แสนล้านบาท) ต้นทุนปฏิบัติการประมาณ 1.65 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ (5.49 แสนบาท) ต่อชั่วโมงบินChengdu J-10 C ของกองทัพปากีสถาน เป็นเครื่องบินขับไล่ มัลติโรล รุ่นที่ 4.5 ซึ่งพัฒนาโดยจีน มีคุณสมบัติเด่นคือมีเรดาร์ AESA (Active Electronically Scanned Array) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับและติดตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังติดขีปนาวุธอากาศสู่อากาศระยะไกล PL-15 ที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้จากระยะไกลก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะตรวจพบChengdu J-10 C มีความคล่องตัวสูง ด้วยโครงสร้างแบบปีกเดลต้าพร้อมคานาร์ด และมีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่ทันสมัย เช่น ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมและระบบเตือนภัยจากขีปนาวุธ เครื่องบินขับไล่รุ่นนี้ของจีนใช้เครื่องยนต์ AL-31F ที่พัฒนาจากรัสเซีย แต่รุ่นใหม่ๆกำลังทดสอบการใช้เครื่องยนต์ WS-10 ที่ผลิตในจีนเองการที่ J-10 C สามารถเอาชนะเครื่องบิน Rafale ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่จากฝรั่งเศสในสนามรบจริง ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญของเทคโนโลยีการบินของจีน ส่งผลให้ความสนใจจากนานาชาติเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังมองหาเครื่องบินขับไล่ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ราคาย่อมเยา Chengdu Aircraft Industry Group (CAC) เป็นบริษัทในเครือของ Aviation Industry Corporation of China (AVIC) รัฐวิสาหกิจด้านอุตสาหกรรมการบินของจีน ตั้งเมื่อ ค.ศ.1958 ในชื่อโรงงานที่ 132 แห่งชาติ เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน เป็นบริษัทที่พัฒนาและผลิตเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยของจีน โดยเฉพาะ J-10 CChengdu J-10 C จากจีนราคาต่อเครื่องประมาณ 40-55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,332-1,831.5 ล้านบาท) ราคาต่างกันกับ Rafale มากถึง 2.5-4 เท่าความสำเร็จของ J-10 C ในสนามรบจริงทำให้บริษัทผลิตอาวุธของจีน ทำให้หุ้นของ CAC ในตลาดหลักทรัพย์เสิ่นเจิ้นพุ่งขึ้นกว่าร้อยละ 30 ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม 2025ปัจจุบันจีนกำลังพัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 6 อย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปิดตัวต้นแบบใหม่ เช่น Chengdu J-36 และ Shenyang J-50 ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นเป็นโครงสร้างแบบไม่มีหาง การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการควบคุม และความสามารถในการทำงานร่วมกับอากาศยานไร้คนขับ ความสำเร็จของ J-10 C และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้จีนมีศักยภาพในการขยายตลาดอาวุธไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา ซึ่งตอนนี้ทราบว่า บังกลาเทศและ สปป.ลาว สนใจในเครื่องบินขับไล่ J-10 Cจีนมีแต่ได้กับได้ ได้ทั้งขายของ ได้ทั้งความร่วมมือทางการทหารระหว่างประเทศ.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม