“พรรคการเมือง” กลายเป็นประเด็นวิวาทะเล็กๆ น้อยๆ ระหว่าง ส.ว.กับ ส.ส. เมื่อ ส.ว. สมชาย แสวงการ ให้สัมภาษณ์กรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ไม่ผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ต้องพิจารณาหลังจากนั้น มีอำนาจครอบงำพรรคหรือไม่ หรือจ่ายเงินให้ครอบครัวพรรค สมัครสมาชิกพรรคหรือไม่ต่อคำถามนี้มีคำชี้แจงจากนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานที่ปรึกษากฎหมายพรรคเพื่อไทย ว่า น.ส.แพทองธาร ไม่ใช่ “คนนอก” แต่เป็นสมาชิกพรรค จึงไม่เข้าข่ายข้อหาครอบงำหรือชี้นำพรรค มีคำชี้แจงเพิ่มเติมจากนายทะเบียน ผู้รับผิดชอบโครงการครอบครัวพรรคว่าพรรคเพื่อไทยแบ่งชัดเจนระหว่างสมาชิกพรรคกับสมาชิกครอบครัวโครงการครอบครัวพรรค เป็นการเปิดกว้างให้ผู้ที่ชื่นชอบพรรค เข้าร่วมพรรคได้โดยไม่ต้องเป็นสมาชิก โดยไม่เสียเงิน ให้รับฟังความเดือดร้อนของประ ชาชน แต่ไม่มีสิทธิ์ร่วมเลือกผู้สมัคร ส.ส. ที่เรียกว่า “ไพรมารี” อันที่จริงประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่ไม่มีกฎหมายพรรคควบคุมด้วยซ้ำ เพราะถือเป็นเสรีภาพของประชาชนประเทศไทยก็ยึดหลักเสรีภาพในการตั้งพรรค เป็นเดียวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยยึดหลักการที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ว่าบุคคลมีเสรีภาพในการตั้งพรรค เพื่อสร้างเจต นารมณ์ทางการเมืองของประชาชน และดำเนินการให้บรรลุเจตนารมณ์ ที่สหรัฐ อเมริกา แท้แต่รัฐธรรมนูญก็ไม่พูดถึงพรรคการเมืองเพราะถือว่าพรรคการเมืองเกิดขึ้นตามธรรมชาติของการเมืองคือที่ใดมีการต่อสู้ทางการเมืองที่นั่นจะต้องมีพรรค และเหตุที่ส่วนใหญ่ใช้ระบบสองพรรค ก็เพราะว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่มักแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้านแต่ระบบพรรคของไทยยังไม่พัฒนาถึงระดับนั้นพรรคส่วนใหญ่ยังเป็น “ระบบพรรคพวก”พรรคการเมืองที่เป็นระบบพรรคพวก ส่วนใหญ่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการเลือกตั้ง หลังจากที่คณะรัฐประหารใช้รัฐธรรมนูญใหม่ และให้เลือกตั้งใหม่ จึงเกิดพรรคบานสะพรั่ง อย่างการเลือกตั้ง 2562 มีพรรคลงแข่งขันถึง 70–80 พรรค ส่วนใหญ่ไม่คำนึงถึงอุดมการณ์ สำคัญที่สุดคือ “ผลประโยชน์” ตรงกันผลประโยชน์ที่ตรงกันมากที่สุด คือการได้มาซึ่ง “อำนาจ” ซึ่งเป็นเป้า ประสงค์สำคัญของการเมือง น่าเสียดายที่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้วเกือบ 90 ปี แต่พรรคการเมืองไทยก็ยังง่อนแง่น กลายเป็น “90 ปีที่สูญเปล่า” แค่จะทำให้พรรคพัฒนามาเป็น “สถาบันการเมือง” ก็ยากเย็นแสนสาหัส แต่ต้องเดินหน้าต่อไป.