หากย้อนไปสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี นโยบาย “มาลาไทยนิยม” ได้ถือกำเนิดขึ้น มุ่งหวังทำให้คนไทยได้ตามทันโลก หลายๆประเทศช่วงนั้น นิยมสวมใส่หมวกปัจจุบันทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เมื่อ “มาลาไทยนิยม” ดับสูญ จึงมีคนในท้องถิ่น ผุดไอเดียหยิบจับรูปแบบขึ้นมาทำเป็นงานแฮนด์เมด เพื่อสร้างรายได้ มีให้เห็นอยู่ที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่วันนี้ นางรวพรรณ คำลือ อายุ 54 ปี บ้านเลขที่ 75 หมู่ 6 ถนนสันกำแพงคำซาว ต.สันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ จึงยังใช้ชีวิตสืบทอดการผลิต “หมวกกะโล่” ผลิตภัณฑ์ที่มีมาแล้วเมื่อหลายสิบปี สืบต่อจากปู่ย่าตายายนางรวพรรณ กล่าวว่า วิธีการผลิตเหมือนสมัยก่อน เริ่มจากต้องมีแบบ หรือแม่พิมพ์ เป็นแบบ ทรงคลุมศีรษะ มีปีกแข็งโดยรอบ ส่วนโครงสร้างหมวกนั้น เป็นไม้ฉำฉา หรือไม้ก๊อกใช้กระดาษสา ของดีอีกอย่างหนึ่ง อ.สันกำแพง ห่อหุ้มตัวโครงให้รอบ แล้วทาทับด้วย “น้ำมะโก๋” ได้จากการนำ “ตะโก” ลูกเล็กๆ ในภาคเหนือและอีสานมีจำนวนมาก มาตำแล้วบีบให้ได้น้ำมันคล้ายยางมะตูมจนเมื่อได้หมวกรูปทรงเรียบร้อย จึงนำเข้าห้องอบให้แห้งตามธรรมชาติ โดยใช้ “เตาอั้งโล่” ให้ความร้อนอยู่ด้านใต้ชั้นหมวกที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ จึงเป็นที่มาของชื่อ “หมวกกะโล่”เมื่อแห้งได้ที่ จึงนำออกมาเจาะรู “ตาไก่” และสายรัดใต้คางสำหรับรูที่เจาะไว้นี้ จะช่วยระบายอากาศและความร้อนด้านใต้หมวก ส่วนสีแล้วแต่จะสั่งทำ ลูกค้ามีมากมาย แม้กระทั่ง “วัดร่องขุ่น” จ.เชียงรายขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ มีเท่าไหร่เอาหมด ตามโรงแรม งานประเพณีต่างๆ หลายจังหวัด สั่งไปใช้คราวละมากๆ นอกจากนี้ ยังสั่งได้ทางอินเตอร์เน็ต ราคาถัวเฉลี่ย อยู่ราวๆใบละ 500 บาท แล้วแต่ขนาดจากความนิยมที่เกิดขึ้น ผนวกกับเป็นผลิตภัณฑ์แฮนด์เมด จึงผลิตแทบไม่ทัน หากสั่งออเดอร์ก็ต้องรอนี่แหละผลิตภัณฑ์โอทอปของดีวันนี้มีเห็นอยู่แห่งเดียวใน อ.สันกำแพง หรือจะทั่วประเทศก็ว่าได้....!พิพัฒน์ สุวรรณ /รายงาน