ตอนที่ 15
พระสีหราชฤทธิไกรมองดาวเรืองอย่างขำในใจ ด้วยว่าเคยเห็นท่าทีอันเป็นคนจริงจังเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมถอยของดาวเรืองมาแล้ว เยื้อนอารมณ์เดียวกัน คุณพระเหลียวไปสบตากับเยื้อน สองคนหัวเราะออกมาดังๆ ดาวเรืองถึงกับหน้าคว่ำ มองซ้ายมองขวาพูดว่า
“ฉันไม่ร่วมขบวนด้วยหรอก พูดไว้ตรงนี้เลย”
สองคนยิ่งหัวเราะใหญ่ คุณพระพูดยิ้มๆ กระเซ้าเมียว่า “เก่งจริงแม่คุณของพี่”
ooooooo
พระเจ้าตากทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ออกดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างทั่วถึง ไม่แปลกที่ราษฎรทุกคนรักและเทิดทูนท่านมาก
หลายปีผ่านไป ดาวเรืองให้กำเนิดลูกชายหญิงอีกสี่คนคือ กลด กล้า บัวผัน และพลับพลึง รวมจันทร์ลูกชายคนโตก็เป็นห้าคน ทั้งหมดวัยไล่เลี่ยหลดหลั่นกันไป กำลังซุกซนน่ารักนักหนา เป็นที่ชื่นอกชื่นใจของบิดามารดา
นอกจากดาวเรืองเป็นเมียและแม่ที่ดีแล้วยังมีทำหน้าที่ดูดวงซึ่งเป็นวิชาสืบทอดมาจากคุณย่านิ่ม โดยใช้ตำรามหาทักษาได้อย่างแม่นยำหลังจากฝึกฝนอยู่นาน ที่เรือนจึงมีผู้คนให้ความสนใจแวะเวียนมาไม่ขาดสาย จนคุณพระถึงกับออกปากเย้าว่าเมียตนเป็นหมอดูดวงไปเสียแล้ว
พลับพลึงลูกสาวคนเล็กถอดแบบดาวเรืองมาทั้งหน้าตาและท่าทาง คุณพระถึงเอ็นดูเหลือเกิน วันหนึ่งดาวเรืองถูกคุณพระพาเข้าห้องปิดประตูคุยกันสองคน เหมือนมีเรื่องน่ายินดีอะไรสักอย่าง
“ปิดประตูทำไมคะ”
“อยากกอดคุณหญิงน่ะสิ ทำไมว่าพูดไม่รู้เรื่อง ตามธรรมดาผัวเป็นพระยาต้องเป็นคุณหญิงไม่ใช่หรือ โปรดเกล้าฯให้เลื่อนพระสีหราชฤทธิไกรเป็นพระยาไกรสีห์ราชภักดี ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
“พี่ไกร...”
พระสีหราชฤทธิไกรกอดเมียรักแนบแน่น จูบเบาๆที่แก้ม
“ไม่ปิดประตูเรือนได้รึ ลูกเต้าเป็นหลายคน พี่เคยขอลูกจากเจ้าถึงหก เวลานี้มีให้แล้วห้าคน ชายสามหญิงสอง ดูทำตาเข้าแน่ะ ล้อเล่นหรอกน่า”
“ฉันดีใจด้วยเจ้าค่ะ...เจ้าคุณ”
พระสีหราชฤทธิไกรจูบหน้าผากดาวเรืองอย่างนุ่มนวลแล้วลงนั่งถอนใจดังเฮือก
“พี่ไกรไม่สบายหรือคะ”
“ใจไม่สบาย” คุณพระหยิบดาบบรรพบุรุษคู่ใจขึ้นมาลูบคลำชั่วอึดใจใหญ่ๆ “ไม่ได้จับดาบเสียนานวันก่อนพ่อจันทร์เข้ามาหาขอดูดาบเล่มนี้”
“ต้องคอยห้ามกันค่ะ”
“เจ้าคนหัวปีของเราอยู่ในท้องแม่ตอนกรุงแตกซีนะ อพยพร่อนเร่ พ่อต้องไปสงคราม พ่อจันทร์เกิดมาถึงอยากเป็นนักรบเป็นทหารอย่างพ่อ”
“พี่ไกรบอกอะไรลูกคะ วันนั้นเห็นคุยกันนาน”
“พี่บอกลูกไว้นานแล้วว่าถ้าพ่อแก่ตัวลงเมื่อไหร่จะยกดาบเล่มนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ เพราะเป็นลูกชายหัวปี ชื่อเจ้าของดาบน่ะจันทร์เหมือนกัน สั่งกันหลายอย่าง เห็นว่าโตพอจะพูดรู้เรื่อง”










