ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ การแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติกลายเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ซึ่งตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งอาเซียน“รัฐบาล” จึงออกมาตรการต่างๆผ่านกลไกอย่าง คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาคหนึ่งในสิทธิพิเศษที่มอบให้กับนักลงทุนต่างชาติ คือ “การถือครองที่ดิน” ซึ่งตามกฎหมายไทยนั้น คนต่างด้าวไม่สามารถถือครองที่ดินได้โดยทั่วไป ยกเว้นในกรณีที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI หรือได้รับสิทธิภายใต้กฎหมาย EECทว่า...ในขณะที่สิทธิเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็น “รางวัลแห่งการลงทุน” แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความเสี่ยง และคำถามเชิงนโยบาย เกี่ยวกับ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และ ความเป็นธรรมต่อคนไทยประเด็นการถือครองที่ดินของคนต่างด้าวตามหลักเกณฑ์ของ BOI และ EEC อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม บอกว่าหนึ่ง...ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2565 เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนถือกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยโดยกำหนดให้นิติบุคคลต่างด้าวผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่จดทะเบียนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 50 ล้านถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นที่ตั้งสำนักงานที่พักอาศัยได้ดังต่อไปนี้...1.1 ที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งสำนักงานของกิจการได้รับการส่งเสริมถือกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 5 ไร่ 1.2 ที่ดินสำหรับที่พักอาศัยของผู้บริหารหรือผู้ชำนาญการให้ถือกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 10 ไร่ 1.3 ที่ดินสำหรับที่พักอาศัยของคนงาน ให้ถือกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 20 ไร่1.4 ที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยจะอยู่บริเวณเดียวกันกับที่ดินอันเป็นที่ตั้งประกอบการหรือไม่ก็ได้ นอกจากนี้จะต้องจำหน่ายหรือโอนที่ดินภายใน 1 ปี เมื่อหมดสภาพการกู้ได้รับการส่งเสริมสอง...ตามประกาศของ BOI ในปี 2565 ข้างต้นทำให้ “คนต่างด้าว” จากโรงงานที่มาลงทุนในประเทศไทยดังกล่าวสามารถซื้อที่ดินสำหรับอยู่อาศัยได้ถึงคนละ 10 ไร่ รวมทั้งซื้อที่ดินสำหรับคนงานถึง 20 ไร่ ในพื้นที่ต่างๆ เกิดเป็นคลัสเตอร์การรวมกลุ่มของคนต่างด้าวและสามารถซื้อที่ดินสำหรับเก็งกำไรได้“บางหมู่บ้าน...มีแต่คนต่างด้าวอยู่ทั้งหมด บางแห่งมีการนำที่ดินที่ถือกรรมสิทธิ์มาสร้างคอนโดมิเนียมเป็นที่อยู่สำหรับคนต่างด้าว เป็นต้น เมื่อหมดสภาพการเป็นผู้ได้รับการส่งเสริมจาก BOI คนต่างด้าวจะให้นอมินีที่เป็นคนไทยถือครองต่อ...”ทำให้คนต่างด้าวเข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินอยู่ในประเทศไทยได้อย่างถาวร เป็นปัญหาที่ประชาชนคนไทยร้องเรียนกันค่อนข้างมากสาม...คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ประกาศหลักเกณฑ์การอนุญาตใหม่ ในปี 2567 โดยยกเลิกข้อ 1.2 คือไม่ให้สิทธิ์คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อเป็นที่พักอาศัยของผู้บริหารหรือผู้ชำนาญการและปรับปรุงข้อ 1.3 กำหนดที่ดินสำหรับที่พักอาศัยของคนงานระดับปฏิบัติการที่มีลักษณะเป็นอาคารให้ถือกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 20 ไร่ ทำให้ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป คนต่างด้าวรายใหม่ทำได้เพียงเช่าที่พักอาศัยแต่ไม่มีสิทธิ์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามข้อกำหนดของ BOI อีกต่อไปสี่...ในกรณีพื้นที่ที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือเขตที่ส่งเสริมการลงทุน (พื้นที่ EEC) คนต่างด้าวถือครองที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยที่ดินนั้นต้องใช้เพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น มีเงื่อนไขต้องนำเงินมาลงทุนในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาทและต้องดำรงการลงทุนอยู่ไม่น้อยกว่า 5 ปีพุ่งเป้าไปที่มิติปัญหา...เมื่อสิทธิพิเศษกลายเป็นช่องว่าง “การใช้สิทธิถือครองเกินความจำเป็น” มีรายงานว่าบริษัทต่างด้าวบางแห่งถือครองที่ดินมากกว่าความจำเป็นในการดำเนินกิจการจริง โดยเฉพาะในทำเลทอง เช่น พัทยา ศรีราชา หรือระยอง ซึ่งนำไปสู่การ “เก็งกำไร” และแปลงวัตถุประสงค์จาก “การใช้ที่ดินเพื่อการผลิต” ไปเป็น “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยหรือพาณิชย์” โดยอ้อมประเด็นสำคัญคือ...การโอนกรรมสิทธิ์ซ่อนเร้นผ่านนอมินี“คนต่างด้าว” จำนวนไม่น้อย? เลี่ยงข้อจำกัดด้วยการจัดตั้งบริษัทที่มีคนไทยเป็น“ตัวแทน” ถือหุ้น แต่ในความเป็นจริงบริษัทนั้นมีการควบคุมและการเงินโดยต่างชาติทั้งหมด ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงเจตนารมณ์ของกฎหมายไทยนำไปสู่...ผลกระทบต่อการกระจายการถือครองทรัพยากร เมื่อบริษัทต่างด้าวสามารถถือครองที่ดินได้ในสัดส่วนสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินพุ่งขึ้น กระทบโดยตรงต่อประชาชนในท้องถิ่นและเอสเอ็มอีที่ต้องการเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่ โดยเฉพาะเกษตรกรหรือผู้ประกอบการไทยรายเล็กเกี่ยวโยงต่อเนื่องไปถึง...ความกังวลด้านความมั่นคงและอธิปไตยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกรณีที่มีการถือครองที่ดินจำนวนมากโดยนิติบุคคลต่างด้าวในเขตสำคัญ เช่น เขตทหาร สนามบิน หรือพื้นที่ติดทะเล กลายเป็นประเด็นถกเถียงถึงความมั่นคงในระยะยาว?การพัฒนาเศรษฐกิจในยุคใหม่ หากไม่มีมาตรการถ่วงดุลที่เข้มงวดและการควบคุมที่โปร่งใส ไทยอาจต้องแลก “การเติบโตทางเศรษฐกิจ” กับ “ความสูญเสียอธิปไตยด้านทรัพยากร” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้“ประเทศไทย” ต้องหาสมดุลระหว่างการเปิดกับการปกป้อง เพราะอนาคตไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเข้ามาลงทุนมากที่สุดแต่อยู่ที่ว่า “คนไทย” ได้อะไรจากการ “พัฒนา” นั้นบ้าง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม