สสจ.อุดรธานี ออกหนังสือด่วน ที่สุดสั่ง “น้องหญิง คลื่นพลังบุญ” และพวกหยุดรักษาโรคประชาชน ที่ “แดนธรรมสุขาวดี” หลังตรวจพบสถานที่และผู้ที่ทำการรักษายังไม่มีการขึ้นทะเบียนเกี่ยวกับการรักษาโรคใดๆ ผิดทั้ง พ.ร.บ.สถานพยาบาล และ พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ หากฝ่าฝืนเจอคุก รวมถึงโทษปรับด้วย ขณะที่ “น้องไนซ์ เชื่อมจิต” ซัดกันนัว เมื่อทนายคนดังอ้างอัยการ สคช.สุราษฎร์ธานี ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ให้คำปรึกษาแก่ พม.ในการยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งตรวจสอบลัทธิเชื่อมจิตจนต้องไปร้องศาลเยาวชนเอง ขณะที่อัยการฯทำหนังสือชี้แจงผ่านอธิบดีอัยการ สคช.ยันให้คำปรึกษาแนะนำพม.อย่างเต็มกำลัง มีหลักฐานแชตไลน์ และย้ำไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิเชื่อมจิตจากกรณีที่มีข่าวปรากฏในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการรักษาโรคทางเลือก ณ แดนธรรมสุขาวดี ตั้งอยู่ ที่บ้านโนนตาแสง หมู่ 6 ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี โดยน้องหญิง หรือ น.ส.โสวรีร์ ทองอินทร์ อายุ 37 ปี พร้อมกับอาจารย์ชาย และนายโดม เจ้าสำนักคลื่นพลังบุญ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ที่อ้างเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ รักษาโรคด้วยคลื่นพลังบุญให้แก่ประชาชน ที่ต่อมา น.ส.โสวรีร์ ถูกตำรวจจังหวัดอุดรธานี จับกุมตามหมายศาลอาญามีนบุรีและส่งตัวไปดำเนินคดีที่ สน.โคกคราม กทม. เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาต่อมาเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) อุดรธานี โดย ทพ.สันติ ศรีนิล ทันตแพทย์ ปฏิบัติราชการแทนนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ได้ออกหนังสือด่วนที่สุด ถึงเจ้าของสถานที่ “แดนธรรมสุขาวดี” เรื่องแจ้งให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ลงนามเมื่อวันที่ 24 พ.ค.2567 ข้อความในหนังสือระบุว่า ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อมวลชน เกี่ยวกับการรักษาโรคทางเลือก ณ แดนธรรมสุขาวดี โดย “น้องหญิง อาจารย์และพี่โดม” เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ รักษาโรคด้วยคลื่นพลังบุญให้แก่ประชาชนทั่วไป สสจ.อุดรธานี ได้ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าสถานที่และผู้ที่ทำการรักษาดังกล่าวยังไม่มีการขึ้นทะเบียนเกี่ยวกับการรักษาโรคใดๆ ทั้งนี้ กรณีมีการประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบกิจการสถานพยาบาล เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต หากฝ่าฝืนเข้าข่ายกระทำผิดตามมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับอีกทั้งกรณีมีการประกอบโรคศิลปะโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาต พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 มาตรา 30 ห้ามมิให้ผู้ใดทำการประกอบโรคศิลปะ หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิทำการประกอบโรคศิลปะโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต หากฝ่าฝืนเข้าข่ายกระทำผิดตามมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในการนี้เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และให้เป็นไปตามกฎหมาย สสจ.อุดรธานี จึงขอให้ท่านหยุดกิจกรรมเกี่ยวกับการรักษาโรคให้แก่ประชาชนทั่วไปนับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้หากท่านไม่ดำเนินการตาม จะพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปส่วนกรณี น้องไนซ์ เชื่อมจิต ที่อ้างตนว่าเป็นร่างอวตารองค์เพชรภัทรนาคานาคราชและบุตรของพระศากยมุนี มีความสามารถในการ “เชื่อมจิต” และ “หยั่งรู้” เรื่องราวต่างๆ ทั้งอดีตและอนาคตจนมีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก กระทั่งนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม และเครือข่าย ได้ยื่นหนังสือถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ คำอ้างต่างๆ และนายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.พศ.ได้ออกมาระบุว่า ส่วนตัวเชื่อว่าการเชื่อมจิตไม่มีอยู่จริง จากนั้นเรื่องลุกลามมีการฟ้องร้องกันไปมาระหว่างครอบครัวน้องไนซ์กับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเชื่อมจิตดังกล่าว ขณะที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ได้ โดยมีรายงานว่า นายอนันต์ชัย ไชยเดชได้กล่าวในรายการทีวีรายการหนึ่ง มีใจความบางส่วนว่าอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) สุราษฎร์ธานี ไม่ให้คำปรึกษา ไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ พม.และ ไม่แนะนำ พม.ในการยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งตรวจสอบ ในกรณีลัทธิเชื่อมจิต พม.ต้องทำงานเอง ยื่นศาลเยาวชนเอง ทำให้นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการ สคช.ได้สอบถามนางวรรณา วิพลชัย อัยการจังหวัดสำนักงานคุ้มครองสิทธิ์ (อจ.คช.) สุราษฎร์ธานีต่อมาเมื่อวันที่ 25 พ.ค. มีรายงานว่า นางวรรณา วิพลชัย มีหนังสือชี้แจงมาถึงนายโกศลวัฒน์ ใจความว่า ขอยืนยันว่าคำกล่าวของทนาย อ. ข้างต้นไม่เป็นความจริง พร้อมชี้แจงว่าหน้าที่หลักของอัยการคุ้มครองสิทธิ์ฯคือ การช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ประชาชน มิใช่หน่วยงานของรัฐ และไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในคดีเยาวชน โดยกรณีลัทธิเชื่อมจิตนี้ สำนักงานอัยการคดีเยาวชนฯ สุราษฎร์ธานี เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการให้คำปรึกษาและยื่นคำร้องในกรณีนี้ และแม้ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง แต่อัยการจังหวัด สคช.ก็ให้คำปรึกษาแก่ พม.สุราษฎร์ธานี เต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอดทุกครั้ง และเคยแจ้งให้ พม.ทราบแล้วว่าสนับสนุนให้ พม.ใช้อำนาจศาลในการแก้ปัญหาลัทธิเชื่อมจิต เพียงแต่ สคช.สุราษฎร์ธานี ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการยื่นคำร้องเองนางวรรณาระบุในหนังสือชี้แจงอีกว่า ได้ประสาน งานและพูดคุยให้คำปรึกษากับ พม.และรองอธิบดี พม.มาโดยตลอด ทั้งทางไลน์และวิดีโอคอล โดยได้ชี้แจงข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในการยื่นคำร้อง พร้อมส่งคลิปที่จะใช้แนบในการยื่นคำร้องให้ พม.ด้วย เจ้าหน้าที่ พม.เคยแจ้งว่า พม.จะส่งคำร้องที่จะยื่นคำร้องกับศาลมาให้ตนตรวจ แต่สุดท้าย พม.ก็ไม่ได้ส่งคำร้องใดๆมาให้ตรวจ กระทั่งทราบต่อมาว่า พม.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลด้วยตนเองแล้วตามที่ปรากฎเป็นข่าว รายละเอียดปรากฎตามข้อความทางแชตไลน์ที่ได้แนบมาด้วยแล้ว พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิเชื่อมจิต เพราะส่วนตัวไม่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ และหากทนาย อ. ยังไม่หยุดกล่าวพาดพิงตน ตนจะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาต่อไปด้านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการ สคช.เปิดเผยว่า เรื่องนี้ทางอัยการจังหวัดสำนักงานคุ้มครองสิทธิ์ฯ (อจ.คช.) ได้มีหนังสือยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิเชื่อมจิต ซ้ำยังช่วยเหลือประสานงานกับ พม.ในการยื่นคำร้องต่อศาล แต่ภายหลังทาง พม.กลับไปทำเองและมีข่าวออกมาทำให้กระทบต่อสำนักงาน สคช.สุราษฎร์ธานี ทราบมาว่า ล่าสุดนายอนันต์ชัยจะเดินทางมาพบอัยการสูงสุดเพื่อยื่นหนังสือให้ตรวจสอบ อจ.คช.สุราษฎร์ ที่ สนง.อสส. อาคารแจ้งวัฒนะ หากตนได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับ จะชี้แจงต่อนายอนันต์ชัยว่ามีความเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือไม่ และตนมีหลักฐานเป็นไลน์ โต้ตอบหารือกันระหว่าง อจ.คช.กับทาง พม.ด้วย“ขอยืนยันว่าอัยการจังหวัดสำนักงานคุ้มครองสิทธิ์ฯสุราษฎร์ ไม่รู้จัก ไม่เคยไปร่วมกิจกรรมกับพวกเชื่อมจิต และได้ให้คำแนะนำ พม.ในการดำเนินคดีกับ พม.ไปแล้ว แต่ พม.ไปยื่นคำร้องเอง” นายโกศลวัฒน์กล่าวอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่