เมื่อไม่กี่วันมานี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์พยากรณ์อากาศอวกาศขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ออกมาเตือนถึง “พายุสุริยะขนาดใหญ่” ที่อาจรบกวนการสื่อสารและส่งแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้านักวิทยาศาสตร์เผยว่า ดวงอาทิตย์ได้ปล่อยเปลวไฟสุริยะขนาด 1.1 แมกนิจูด ที่เป็นระดับรุนแรงที่สุด ถือเป็นการระเบิดอันทรงพลังที่สุดที่ดวงอาทิตย์สามารถสร้างได้ การระเบิดครั้งนี้ไม่ปกติเนื่องจากประกอบด้วยการระเบิด 2 ครั้งพร้อมกัน และเปลวสุริยะถูกปล่อยออกมาจากจุดดับของดวงอาทิตย์คู่หนึ่ง คือจุดดับ AR3614 และ AR3615 โดยทั้ง 2 จุดดับนี้แยกห่างกัน เป็นระยะทางหลายแสนกิโลเมตร การระเบิดตามกันทำให้เกิดเมฆพลาสมาและการแผ่รังสีขนาดมหึมาสู่อวกาศ ที่เรียกว่าการปลดปล่อยก้อนมวลออกมาจากบรรยากาศชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์ (Coronal Mass Ejection-CME) ซึ่งพุ่งเข้าสู่สนามแม่เหล็กโลก และการปะทะกันได้ส่งคลื่นกระแทกผ่านเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นของโลก ทำให้มันอ่อนกำลังลงชั่วคราว สิ่งนี้ทำให้รังสีดวงอาทิตย์ทะลุผ่านชั้นบรรยากาศได้ลึกกว่าปกติ และกระตุ้นให้เกิดแสงออโรร่าในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เช่นเดียวกับปรากฏการณ์คล้ายแสงออโรร่า STEVE (Strong Thermal Emission Velocity Enhancement) ที่เป็นสีม่วง เกิดขึ้นในรัฐอลาสกา สหรัฐฯทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าทุกๆ 11 ปี สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะพลิกกลับอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ขั้วเหนือและขั้วใต้เปลี่ยนตำแหน่ง พฤติกรรมของดวงอาทิตย์ที่เปลี่ยนแปลงไปในระหว่างรอบนั้น จะเข้าใกล้ช่วงที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานมากที่สุด (Solar Maximum) ซึ่งอาจมีจุดดับปรากฏขึ้นบนพื้นผิวดวงอาทิตย์มากที่สุด.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่