ความดันสูงระยะยาวมีผลเสียต่ออวัยวะในร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงของเส้นเลือดตีบในสมอง ความจำเสื่อม โรคหัวใจ และโรคไตทั้งนี้ สูงคือสูงเท่าไหร่ สูงเกิน 130 ในตัวบน (systolic) และเกิน 80 ในตัวล่าง (diastolic) ซึ่งเมื่อสูงนานๆ ผนังหลอดเลือดได้รับการบาดเจ็บ ร่วมกับปัจจัยอื่น เช่น ไขมันสูง การอักเสบในร่างกาย และเลือดข้นเช่นจากการสูบบุหรี่ ทำให้ผนังค่อยๆตีบ จากการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน การเกาะของไขมัน รอยแผลเป็นและแคลเซียม สุดท้ายเส้นเลือดใหญ่ตันและอวัยวะเสียหายจากการขาดเลือด นอกจากนั้น การที่ความดันสูงต่อเนื่องทำให้เส้นเลือดฝอยเล็กๆในสมองเสียหายเพิ่มความเสี่ยงความจำเสื่อม เรื่องกล้ามเนื้อหัวใจก็เพิ่มภาระ การบีบตัวเนื่องจากต้องสู้กับความดันที่สูง ทำให้หัวใจโต ยังสร้างความเสียหายให้กับส่วนกรองของไต (glomerulus) อีกด้วยแต่หลังอ่านแล้วถ้าค่าเกินก็อย่าเพิ่งตกใจไม่ใช่เรื่องด่วน ค่อยนัดแพทย์ตามคิวได้ ยกเว้นเมื่อความดันสูงเกิน 180 ถึงต้องไปหาแพทย์ทันที โดยเฉพาะถ้ามีปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยหอบ ปัสสาวะไม่ออก ถือว่าเป็นฉุกเฉินจึงเป็นที่มาของความสำคัญในการควบคุมให้ดี แต่การวัดความดันนั้นถูกรบกวนได้จากหลายสาเหตุ ฉะนั้นต้องคำนึงถึงว่าอะไรมากวน ทำให้ค่าไม่ตรงได้บ้าง เช่น การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มคาเฟอีน หรือออกกำลังกายภายใน 30-60 นาที ก่อนวัด อาจทำให้ค่าสูงเกินจริง หรือตื่นเต้นก็ทำให้สูงขึ้นได้เช่นกัน ฉะนั้นการวัดที่โรงพยาบาลหรือคลินิก (office blood pressure) จะต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กล่าวมา แต่ในบางคนก็อดตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ เป็นที่มาของภาวะความดันโลหิตที่วัดในคลินิกสูง (white coat hypertension) แต่วัดที่บ้านปกติ มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกพอสมควร แต่เป็นสาเหตุหนึ่งที่มีการแนะนำให้วัดที่บ้าน (home blood pressure) หรือยิ่งดีคือใช้เครื่องวัดแบบ 24 ชั่วโมง (ambulatory blood pressure) แต่ทำได้จำกัดเนื่องจากเครื่องมีราคาแพงการวินิจฉัยความดันสูง เริ่มจากถ้าพบว่าความดันที่สถานพยาบาล ตัวใดตัวหนึ่งเกิน 130/80 จะต้องยืนยันโดยการวัดความดันที่บ้าน ถ้าความดันที่บ้านเกิน 130/80 สามารถวินิจฉัยเป็นความดันสูงได้ แต่ถ้าไม่เกิน อาจจะเป็นภาวะความดันโลหิตที่วัดในคลินิกสูง และแนะนำให้ใช้เครื่องวัดแบบ 24 ชั่วโมงกรณีถ้าพบความดันตัวใดตัวหนึ่งเกิน 180/120 ที่สถานพยาบาล สามารถวินิจฉัยหาสาเหตุ ตรวจและรักษาได้เลย หรือถ้าพบความดันตัวใดตัวหนึ่งเกิน 160/100 และมีหลักฐานว่ามีความเสียหายต่ออวัยวะในร่างกายที่เกิดจากความดันแล้วก็ สามารถวินิจฉัยได้เลยเช่นกัน ส่วนคนที่เป็นความดันสูงแล้วกินยาอยู่ก็จำเป็นที่จะต้องกินต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ระดับที่กล่าวไว้ ในกรณีที่อายุมากและมีความเสี่ยงล้ม เกณฑ์อาจจะหลวมลง ไม่จำเป็นให้ต่ำถึง 130/80 ก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์มาที่การวัดที่บ้านก่อนเนื่องจากหลายๆท่านคงมีเครื่องวัดอยู่แล้วก่อนจะวัดทุกครั้งให้นั่งสบายๆ และวัดโดยไม่ได้มีอะไรมาคลุมแขนที่จะวัด ระหว่างวัดไม่เกร็งและไม่พูดคุย แนะนำให้วัดหลังตื่นนอนก่อนกินข้าวหรือยา และอีกครั้งตอนค่ำๆ ให้วัดเวลาใกล้เคียงเดิมทุกวัน ถ้าวัดออกมาแล้วค่าดูผิดจากปกติให้วัดซ้ำทั้งหมด 3 รอบ ห่างกัน 1-2 นาทีส่วนเครื่องวัดแบบ 24 ชั่วโมง จริงๆดีที่สุด เพราะสามารถวัดช่วงนอนได้ด้วย และใช้ค่าความดันเฉลี่ยของทั้งวัน ข้อเสียคือเครื่องมีราคาแพง หาไม่ได้ทั่วไปและอาจจะสร้างความรำคาญได้ เวลาถูกผูกไว้กับตัวฉะนั้นใช้เวลาวินิจฉัยหรือเวลาจะปรับยาเท่านั้น นอกจากความแม่นยำแล้ว การที่สามารถดูค่าความดันตอนกลางคืน มีประโยชน์ในการแนะนำความเสี่ยงของโรคทางกายที่เกิดจากความดัน ตามปกติแล้ว ความดันเวลานอนจะต่ำกว่าช่วงกลางวันประมาณ 10–20% เรียกว่าความดันโลหิตลดในช่วงหลับ (nocturnal dip) และสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตอนตื่นนอน อันนี้เป็นปกติของมนุษย์ (physiologic) แต่การศึกษาหลายการศึกษาพบว่า คนที่ไม่มีความดันโลหิตลดในช่วงหลับ เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่ากลุ่มที่มีความดันโลหิตลดในช่วงหลับหลายเท่า และช่วงที่ความดันขึ้นในตอนเช้าซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงต่อเส้นเลือดสมองหรือหัวใจจะมีปัญหา โดยจะมีปัญหาในคนไข้ที่เป็นความดันอยู่แล้วเพราะยาความดันมักจะกินตอนเช้า และฤทธิ์อาจจะไม่ครอบคลุมถึงตอนตื่นนอนอีกวันทีนี้ก็คงคิดว่าง่ายนิดเดียว ก็แบ่งยาความดันไปกินตอนเย็นหรือก่อนนอนสิ ปัญหาคือถ้าให้แบบที่กล่าวแต่คนไข้ยังมีความดันโลหิตลดในช่วงหลับตามปกติซึ่งอาจจะมากถึง 20% แล้วยังไปให้ยาความดัน คนไข้อาจจะเสี่ยงความดันต่ำจนเกินไป และมีผลต่อการสูบฉีดเลือดไม่ว่าจะไปที่สมอง หัวใจ หรือจอประสาทตา จึงเป็นความสำคัญอย่างหนึ่งของเครื่องวัดแบบ 24 ชั่วโมง เพื่อให้การปรับและเลือกยาได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดสุดท้ายยาความดันไม่ใช่ทุกคนต้องกินตลอดชีวิต บางท่านถ้าปรับเปลี่ยนชีวิตได้อย่างดี ลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอก็มีโอกาสลดและอาจจะหยุดยาได้ ส่วนคนที่ไม่เคยวัดความดัน แนะนำวัดปีละ 1 ครั้งนะครับ หรือบ่อยกว่าก็ได้ หรือทุก 6 เดือน ถ้าน้ำหนักเกินหรือก่อนหน้านี้ความดันอยู่ที่ 120-129 ด้วยความเป็นห่วงครับสรุปรวบรวมเรียบเรียงจาก นพ.ภาสิน เหมะจุฑา.หมอดื้อคลิกอ่านคอลัมน์ “สุขภาพหรรษา” เพิ่มเติม