เป็นหนึ่งในผู้บริหารหนุ่มในตระกูล “พรประภา” ที่น่าจับตามอง ประภู พรประภา ซีอีโอคนเก่งที่ก้าวขึ้นมาคุมบังเหียนธุรกิจของครอบครัวที่เป็นผู้นำด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของประเทศไทย ในฐานะประธาน และกรรมการ บริษัท ฮิตาชิ แอสเตโม ชลบุรี พาวเวอร์เทรน จำกัด และบริษัท สยามชิตะ จำกัดผู้บริหารหนุ่มมาดติสต์ คุณภู–ประภู พรประภา เกริ่นแนะนำตัวเองว่า ตนเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ซึ่งคุณพ่อ-พรพงษ์ พรประภา ให้โอกาสว่าอยากทำอะไรให้ทำ ไม่จำเป็นต้องเรียนทางด้านธุรกิจ ถ้าธุรกิจให้มาเรียนกับพ่อ ตนเลยเรียนทางด้านศิลปะมาตั้งแต่เด็ก จนได้ทุนไปเรียนศิลปะ และได้ไปเข้าเรียนที่เซนต์ มาร์ติน ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เรียนได้ครึ่งปีอยากย้ายสาขาวิชาในสถาบันเดียวกันนี้ แต่ต้องรอเวลาถึง 8 เดือนจึงกลับมาเมืองไทยด้วยความที่ไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ เลยไปสมัครเรียนคณะบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือเอแบค พอถึงเวลาที่ต้องกลับไปอังกฤษก็รู้สึกว่าย้ายไปย้ายมาเดี๋ยวจะไม่จบ เลยเรียนต่อที่เอแบคจนจบด้านบริหารการตลาด จากนั้นจึงได้ไปทำงาน ตอนแรกเริ่มเข้าไปฝึกที่โรงงานสยามชิตะก่อน และพอดีผู้จัดการที่ฮิตาชิจะเกษียณ คุณพ่อเลยให้ตนทำงานในตำแหน่งนี้ ก็ทำงานมาเกือบสิบปี จนคุณพ่อเสียเมื่อปีที่แล้ว ตนจึงเข้ามาดูอย่างเต็มตัว และนอกจากนี้ตนยังเติมเต็มในส่วนที่ชื่นชอบ ก่อตั้งบริษัท ไฟว์ ฟิฟทีน วิคตอรี่ จำกัด ดูแล โครงการ 515 Victory เป็นพื้นที่ community space มีที่พัก ร้านอาหาร คาเฟ่ พื้นที่จัดนิทรรศการ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งมีร้านอาหารไทยไฟน์ไดนิ่งที่ชื่อ “วรรณยุค (Wanayook)” “โครงการ 515 Victory แต่ก่อนเป็นออฟฟิศคุณพ่อ โชว์รูมรถซูซูกิ จากนั้นเรามาทำเป็นโรงแรม ร้านอาหาร ซึ่งร้านวรรณยุค ผมเป็นเจ้าของร่วมกับ เชฟชาลี กาเดอร์ แห่งร้านเซอร์เฟซ (Surface) ทองหล่อ เขามีไอเดียที่จะทำข้าวแกง ปกติร้านข้าวแกงจะเลือกกับทุกอย่าง พอท้ายคำสุดท้าย จะเป็นการผสมผสานทั้ง 3 อย่าง ผมสนใจ เลยมาทำร่วมกัน ส่วนชื่อร้านวรรณยุค เป็นการเล่นคำ ยุคสมัย กาลเวลา ข้าวแกงเป็นอาหารชั้นสูงสำหรับแต่ก่อนนี้ แต่ต่อมากลายเป็นอาหารของคนทั่วไป อาหารร้านนี้เป็นไฟน์ไดนิ่ง แต่เราไม่คิดว่าจะต้องเป็นไฮเอนอย่างเดียว เราอยากให้ทุกคนเข้าถึงได้ เป็นอาหารที่ทุกคนทานปกติอยู่แล้ว แต่มานำเสนอในรูปแบบใหม่ เราก็จะเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ ทุก 2 เดือนครับ ในการทำงานเราคุยกันว่าเรื่องอาหารผมจะไม่ยุ่ง ส่วนการตกแต่งปล่อยผม”ซีอีโอหน้าหยกคนนี้ ยังเล่าถึงประสบการณ์การทำงานว่า “ผมเข้าไปทำงานตั้งแต่ท่ามกลางผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าผมเป็นสิบปี ตอนแรกๆ ก็กลัวๆว่าเรายังเด็ก และที่ผมเป็นห่วงคือผมมีป้ายอยู่บนหัวคือ เป็นลูกเจ้าของ นั่นคือสิ่งที่ผมไม่อยากให้เขามอง ผมอยากให้เขามองผมและยอมรับด้วยความสามารถมากกว่า ไม่ใช่แค่เป็นเจ้าของในการทลายแก็ป ด้วยความที่ผมย้ายที่เรียนบ่อย ชินกับการรู้จักคนใหม่ๆอยู่แล้ว ผมจึงเข้าหาพนักงาน เข้าไปคุยกับเขา และเป็นคนไม่ค่อยถือตัวอยู่แล้ว ใช้เวลาปรับตัวนิดหนึ่งก็คุ้นเคยกันครับ”ส่วนเคล็ดลับของความสำเร็จ ผู้บริหารเก่งคนนี้ บอกย้ำว่า “คุณพ่อสอนไม่ได้สอนว่า จะต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ สิ่งที่คุณพ่อสอนแล้วผมจำขึ้นใจคือ ดูสิ่งที่คุณพ่อทำแล้วทำความเข้าใจกับมัน แต่อย่าทำตามพ่อ เพราะผมไม่ใช่พ่อ คือขอทำในแบบและวิธีของตัวเอง จะทำอะไรก็ตาม ต้องทำด้วยความเข้าใจ แล้วคุณพ่อจะหนีบผมไปด้วยตลอด ไปนั่งแล้วให้ผมซึมเข้าหัวไปเอง เป็นการเรียนรู้แบบซึมซับ ผมโชคดีที่คุณพ่อสอนแบบโค้ชชิ่ง กล้าให้ผมทำ กล้าให้ผมลอง ให้พลาดเอง ให้ผมได้เรียนรู้ ทำให้ผมมีคติประจำตัวคือ ความผิดพลาด คือครูที่ดีที่สุด เพราะว่าความสำเร็จ มันไม่ได้สอนอะไรเราครับ”...คติประจำใจของผู้บริหารไฟแรงคนนี้.