ตั้งแต่วันแรกที่เปิด “โว้ก ประเทศไทย” เมื่อปี 2555 อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง เกิดความตื่นตัวขึ้นมากในการทำธุรกิจแฟชั่น เพื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล กระนั้น สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยสำหรับ “กุลวิทย์ เลาสุขศรี” บรรณาธิการบริหารนิตยสาร “โว้ก ประเทศไทย” คือภารกิจที่มีมาตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มที่ 109 ในปัจจุบัน...“ถ้าคนไทยยังมองไม่เห็นความงามของความเป็นไทยที่ได้มาตรฐานสากล ไม่ยอมรับความเป็นไทยที่ถูกปรับเพื่อสื่อสารกับโลกภายนอก เราก็จะยกระดับความเป็นไทย ยกระดับงานคราฟต์ไทย ยกระดับศิลปินและนักออกแบบท้องถิ่นของไทยให้ได้รับการยอมรับในระดับสากลให้ได้”...ความตั้งใจนี้ยังคงเป็นมิชชันที่ไม่สิ้นสุดของทีมงาน “โว้ก ประเทศไทย” ซึ่งมี “สธน ตันตราภรณ์” เอ็มดีรุ่นใหม่ของโว้ก เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอีกคน “โว้ก ประเทศไทย” มีส่วนพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยอย่างไรกุลวิทย์ : ในช่วงที่ “โว้ก ประเทศไทย” เริ่มเปิดตัว เมื่อปี 2555 เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัล ภาพแต่ละภาพที่นำเสนอสู่สาธารณชนจึงไม่ใช่ภาพฝันแฟนตาซีไกลเกินเอื้อม แต่ต้องเป็นภาพงดงามที่สามารถสื่อสารถึงมิติอันหลากหลายของผู้หญิงยุคใหม่ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนความเป็นไปของสังคมทุกยุคทุกสมัย ในฐานะบรรณาธิการบริหาร “โว้ก ประเทศไทย” ฟอร์ดมีจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเราจะนำเสนอภาพแฟชั่นที่ผสมผสานระหว่างความเป็นสากลกับวัฒนธรรมไทย โดยใช้ทีมงานคนไทยเป็นหลัก เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าความสามารถและทักษะของคนไทยนั้นไม่ด้อยกว่าใครในโลก อะไรคือกุญแจสำคัญทำให้ “โว้ก ประเทศไทย” ครองความเป็นหนึ่งในทุกยุคสธน : ความลื่นไหลของ “โว้ก ประเทศไทย” เราไม่ได้มีแบบฉบับตายตัวกับสังคมใดสังคมหนึ่ง เมื่อโลกเปลี่ยนโว้กปรับ เราไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ แม้จะเป็นเทรนด์เซตเตอร์ที่น่าเชื่อถือในอุตสาหกรรมแฟชั่น แต่มาตรฐานของโว้กไม่ใช่แค่ความสวยงาม ยังต้องแสดงถึงคุณภาพการทำงานที่ได้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ผลงานทุกชิ้นของโว้กต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านเสมอ การที่ชื่อชื่อหนึ่งอยู่ได้ยาวนานกว่า 120 ปี และเป็นที่ยอมรับในทุกประเทศทั่วโลก เพราะเราปรับเปลี่ยนเพื่อเท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลดิสรัปชัน ที่อุตสาหกรรมแฟชั่นเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก เราทำงานด้วยการเปิดตาตลอดเวลา เพื่อทำหน้าที่รีพอร์ตเทรนด์แฟชั่น และรายงานความเป็นไปในสังคม โดยปล่อยให้ทุกอย่างลื่นไหลไปตามธรรมชาติ และอยู่ให้ใกล้ที่สุดกับผู้อ่านของเรา เมื่อเห็นอะไรก่อนก็มารายงานผู้อ่านและผู้ติดตามโว้ก กุลวิทย์ : ไม่ว่ารูปแบบของสื่อจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของโว้กก็คือ ทีมงานทุกคนในกองบรรณาธิการ ที่ต้องมีสายตาเฉียบคมมากพอจะรู้ว่าควรหยิบจับสิ่งใดมาเล่ากับผู้อ่าน ควรผลักดันยังไงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ต้องการอย่างมีศิลปะ เพื่อสร้างนิตยสารที่ให้สาระและความรื่นรมย์แก่ผู้อ่าน รักษาความน่าเชื่อถือในฐานะผู้สะท้อนความเป็นไปของสังคม ขณะเดียวกันก็ต้องประสบความสำเร็จทางธุรกิจด้วย ดิจิทัลดิสรัปชันเขย่าวงการสื่ออย่างแรง “โว้ก ประเทศไทย” เอาตัวรอดมาได้ยังไงกุลวิทย์ : ตั้งแต่วันแรกที่ทำ “โว้ก ประเทศไทย” ก็ปักธงแล้วว่าดิจิทัลจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสื่อยุคต่อไป เราไม่สามารถทำแค่นิตยสารอย่างเดียวได้ แต่ต้องทำตัวเป็นคอนเทนต์โพรไวเดอร์ จึงให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อเตรียมรับมือกับการดิสรัปชันที่จะเกิดขึ้น ซึ่งขณะนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมารูปแบบไหน ฟอร์ดเชื่อว่าการเตรียมตัวเพื่อตั้งรับสถานการณ์จะง่ายกว่าไล่ตามแก้ปัญหา ทุกคนในกองบรรณาธิการเข้ามาด้วยวิชันเดียวกัน ไม่มีใครคิดทำพรินต์อย่างเดียวตั้งแต่วันแรก รู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องทำดิจิทัลด้วย เราห้ามนิ่งอยู่กับที่เด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกทิ้งตกขบวน มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆเข้ามาต้องนำเสนอผู้อ่านโว้กเป็นคนแรก ความท้าทายของเราคือทำยังไงให้ผู้อ่านเปิดเว็บไซต์โว้กแล้วอยู่กับเราเป็นนาที ไม่ใช่เปิดปุ๊บอ่านไม่กี่วินาทีก็ไปแล้ว อยากให้เวลาใครคิดถึงเรื่องแฟชั่นการแต่งกายจะเสิร์ชคำว่าโว้กเป็นคำแรก สธน : คนชอบถามว่าการปรับตัวของนิตยสารก็แค่เอาคอนเทนต์ในเล่มมาลงเว็บไซต์ใช่ไหม ในช่วงต้นสื่อหลายหัวใช้วิธีการแบบนั้น แต่เอาเข้าจริงๆมันคนละเรื่องเลย ดิจิทัลเป็นของใหม่ๆที่ใครเริ่มก่อนมีสิทธิ์ชนะก่อน คนที่ยอมลงทุนลงแรงลองผิดลองถูกมาก่อนก็จะเห็นอะไรที่กว้างกว่า ท้ายสุดเราค้นพบว่าทาร์เกตกรุ๊ปที่เสพสื่อทางดิจิทัลกับกลุ่มผู้อ่านนิตย สารพรินต์มองหาคอนเทนต์คนละอย่าง ซึ่งไม่ได้แบ่ง แยกกันด้วยอายุ แต่เป็นเรื่องของรสนิยมความชอบที่แตกต่างกัน ผู้เสพเองยังไม่รู้ศักยภาพตัวเองด้วยซ้ำว่าจะไปได้ถึงจุดไหน เช่นเดียวกับคนทำสื่อก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะผู้เสพสื่อยุคนี้ต้องการอะไรที่สดใหม่ตลอดเวลาความเป็นโอลด์สกูลในแบบ “กุลวิทย์” มีประโยชน์ยังไงกับการทำสื่อยุคนี้สธน : มองว่าข้อดีของคนเป็นโอลด์สกูลในธุรกิจสื่อยุคนี้คือ “ความเลี่ยม” เราปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่ผ่านการทำนิตยสารพรินต์จะมีความเนี้ยบและประณีตพิถีพิถันในทุกรายละเอียด เมื่อคนโอลด์สกูลปรับตัวเข้ามาอยู่ในโลกดิจิทัลงานที่ออกมาจะมีความเลี่ยมอยู่ข้างใน แค่ชื่อรูปแฟชั่นเซตหนึ่งคิดกันหูดับตับไหม้ อะไรคือสิ่งที่คนเสพแฟชั่นยุคใหม่ต้องการจากโว้กสธน : วันหนึ่งเราเคยพูดว่าสปีดความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ เราก็แข่งสปีดให้เร็วที่สุด พอถึงจุดหนึ่งเรามาคุยกันต่อว่าความเร็วก็สำคัญ แต่เราจะสามารถเร็วกว่านี้และลึกกว่านี้ได้ไหม แล้วเราจะสามารถพิสูจน์ตัวเองเพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆให้วงการได้ไหม สิ่งหนึ่งที่ทำสำเร็จคือการนำเสนอคอนเทนต์เชิงวิเคราะห์บนสื่อดิจิทัล กุลวิทย์ : เราให้ความสำคัญกับ “Vogue Values” คือสิ่งที่โว้กเชื่อ ก่อนจะมีการบัญญัติคำว่า “Diversify” ความหลากหลาย โว้กตระหนักในคุณค่าของความหลากหลายมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของรูปร่างหน้าตาสีผิว แนวคิดความเชื่อ และความหลากหลายทางเพศ เรื่องราวเหล่านี้คือสิ่งที่เราพยายามนำเสนอให้ผู้อ่านอย่างต่อเนื่อง โว้กยังสนับสนุนให้ผู้คนก้าวข้ามความแตกต่างทั้งมวล เลิกตั้งคำถามที่ไม่จำเป็น แล้วมองคนร่วมสังคมว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีศักดิ์ศรี มีคุณค่า และมีความแตกต่างในแบบฉบับตัวเอง มองย้อนกลับไป รู้สึกภูมิใจกับโมเมนต์ไหนที่สุดกุลวิทย์ : ภูมิใจมากกับ “งานโว้ก กาลา” ครั้งแรก ที่สามารถนำหัตถกรรมไทยของชุมชนท้องถิ่นไปถึงมือเหล่าดีไซเนอร์ระดับโลก และสร้างสรรค์เป็นผลงานกลับมา ซึ่งล้วนแต่เป็นแบรนด์ดังระดับโลก เพื่อช่วยยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้งานคราฟต์ไทย นี่คือความฝันที่เป็นจริงของฟอร์ด ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเร็วแค่ไหน ฟอร์ดก็จะไม่ทิ้งภารกิจนี้ ไม่มีวันทิ้งงานคราฟต์ของไทย จะไม่ทิ้งศิลปินและนักออกแบบไทย รู้สึกยังไงที่มีคนยกให้ “กุลวิทย์ เลาสุขศรี” เป็นผู้ทรงอิทธิพลวงการแฟชั่นกุลวิทย์ : ขอบคุณกับสิ่งที่ทุกคนมอบให้ แต่ฟอร์ดก็ยังเป็นฟอร์ดคนเดิม เพียงแต่เรามีหน้าที่ หน้าที่ในฐานะบรรณาธิการบริหาร ซึ่งควรใช้เครือข่ายของโว้กในการทำงาน และยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ถ้าเราไม่ใช้นี่สิต้องถือว่าเฟล!! การที่ฟอร์ดพา “ญาญ่า” ไปทำงานกับ “หลุยส์ วิตตอง” หรือ “คิมเบอร์ลี่” ทำงานกับดิออร์ และ “ใหม่ ดาวิกา” ได้ทำงานกับกุชชี่ สิ่งเหล่านี้เกิดจากฟอร์ดเห็นโอกาสของประเทศไทย ในจังหวะที่ตลาดสินค้าลักชัวรี ในไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดไทยมีศักยภาพเป็นที่ยอมรับมากขึ้น แม้ตลาดไทยจะเล็ก แต่กำลังซื้อบ้านเราสูงมาก โดยเฉพาะในช่วงโควิด ที่ทุกคนบินไปไหนไม่ได้ ฟอร์ดภูมิใจที่ทำให้เมืองไทยเป็นที่รู้จักในสายตาสื่อต่างชาติ ถ้ากางแผนที่แฟชั่นโลกก็ต้องมีประเทศไทยอยู่ด้วย ฟอร์ดกำลังทำเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง หรือเพื่อโว้ก แต่เราทำด้วยความรักจริงๆ ครบรอบ 9 ปี และก้าวสู่ 1 ทศวรรษ “โว้ก ประเทศไทย” มีบิ๊กเซอร์ไพรส์ไหมคะกุลวิทย์ : “โว้ก ประเทศไทย” จัดนิทรรศการใหญ่ “A Fashion Journey - An Exhibition of Vogue Thailand’s Journey in the Fashion Industry” ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA) วันที่ 11 ก.พ.-6 มี.ค.2565 เพื่อบอกเล่าแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และประวัติความเป็นมาของ “โว้ก ประเทศไทย” ตลอด 109 ฉบับนิตยสาร และอีกหลากหลายคอนเทนต์ออนไลน์ โดยเริ่มตั้งแต่ความเป็นมาของสื่อสิ่งพิมพ์, การจำลองบรรยากาศการทำงานของกองบรรณาธิการ และหน้าปกนิตยสารตั้งแต่เล่มแรกถึงปัจจุบัน สำหรับพวกเราแล้ว “โว้ก ประเทศไทย” ไม่เพียงโดดเด่นเรื่องแฟชั่น แต่ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจเรื่องศิลปะและไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต อยากถือโอกาสนี้เพื่อยกย่องความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยทุกคน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอนาคต.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ