จบสิ้นกันไปเรียบร้อยสำหรับการ พบปะกันของ 2 ผู้นำชาติมหาอำนาจ “จีน– สหรัฐฯ” ในการหารือนอกรอบการประชุมสุดยอดความร่วมมือเศรษฐกิจเอเชีย–แปซิฟิก หรือเอเปก ที่เกาหลีใต้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคำถามน่าสนใจคือ การหารือระหว่างนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ใครพอใจกับผลการหารือครั้งนี้มากกว่ากัน? และทิศทางความสัมพันธ์ 2 ชาติมหาอำนาจจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต?บรรดานักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศมองว่า 2 ฝ่ายมีท่าทีประนีประนอมกัน สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรเพื่อพยายามลดความขัดแย้งลง อย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงอนาคตอันใกล้นี้การหารือของนายสีกับนายทรัมป์ครั้งนี้ สหรัฐฯระงับการเล่นงานอุตสาหกรรมการขนส่งโลจิสติกส์ และการต่อเรือ รวมถึงบริษัทที่มีสัดส่วนการถือหุ้นอย่างน้อย 50% ที่อยู่ในรายชื่อคว่ำบาตรของสหรัฐฯเป็นเวลา 1 ปี และลดภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับสารเฟนตานิลจาก 20% เหลือ 10% ทำให้กำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในภาพรวมลดลงเหลือ 47% ขณะที่จีนระงับมาตรการตอบโต้ที่ใช้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งรวมถึงการยุติการควบคุมการส่งออกแร่หายากเป็นเวลา 1 ปี และกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯอีกครั้งสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ นายสีกับนายทรัมป์ไม่ได้พูดถึงเรื่องประเด็นอ่อนไหวอย่างไต้หวันแม้แต่น้อย นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศบางส่วนเชื่อว่า นายทรัมป์จงใจไม่พูดถึงประเด็นไต้หวันกับนายสีเพราะมุ่งเน้นที่ประเด็นการค้าและการลงทุนเป็นหลัก การแตะประเด็นอ่อนไหวของจีนในเวลานี้อาจเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด แม้ความจริงแล้วกรณีไต้หวันยังมีความสำคัญต่อสหรัฐฯก็ตามนักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศมองว่า การหารือครั้งนี้ ทั้งผู้นำจีนและสหรัฐฯ ต่างอ้างชัยชนะได้ แม้จะไม่มีฝ่ายไหนได้ชัยชนะเด็ดขาด ฝั่งจีนมองว่าการเจรจากับสหรัฐฯเป็นไปตามที่พวกเขาคาดคิดไว้ ขณะที่นายสีแสดงความเป็นผู้นำที่สุขุมอีกครั้ง ส่วนนายทรัมป์ได้แสดงภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำที่มั่นใจและดูมีอำนาจแต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้จากการประชุมเที่ยวนี้คือ ทั้งจีนและสหรัฐฯสงบศึกชั่วคราวได้ การงดมาตรการตอบโต้กันเป็นเวลา 1 ปีทำให้ 2 ชาติมหาอำนาจมีเวลาปรับยุทธ ศาสตร์โดยใช้การทูตแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกันในระยะยาว.ผู้เล็กน้อยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม