ยุคปัจจุบันประเทศไทยพยายามเดินหน้าเข้าสู่“ระบบคุณธรรมและความโปร่งใส” แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ในระบบราชการจำนวนมาก “ยังคงแฝงไว้ด้วยระบบอุปถัมภ์” ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอำนาจ และเครือข่ายผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวกับการแต่งตั้ง โยกย้าย หรือเลื่อนตำแหน่งที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เรื่อยๆโดยไม่ได้ยึดคุณสมบัติผลงานความสามารถ “แต่พิจารณาจากใครอยู่กับใคร หรือใครหนุนหลังใคร” กลายเป็นขวางทางคนเก่ง คนมีความรู้ความสามารถที่ทุ่มเททำงานเต็มที่กลับไม่ได้รับโอกาสเติบโต “เกิดความไม่เป็นธรรมในองค์กร” อย่างกรณีสาวคนดังเติบโตในหน้าที่การงานเพียงไม่กี่ปีจนตกเป็นข่าวฮือฮาบนโลกโซเชียลฯทำให้คนในองค์กรรู้สึกว่า “ความสามารถไม่ใช่สิ่งที่ได้รับการให้คุณค่า” เมื่อเห็นว่าความขยัน และความซื่อสัตย์ไม่มีผลต่อความก้าวหน้า “คนทำงานดีๆ” ก็จะเริ่มท้อถอยเกิดภาวะหมดไฟ หรืออยู่ไปวันๆ ส่งผลต่อการบริการประชาชน และความน่าเชื่อถือของรัฐ ในเรื่องนี้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรอง ผบช.น. บอกว่า ความจริงแล้ว “ขั้นตอนการเข้ารับราชการทั่วไป” มักต้องผ่านการสอบแข่งขันตามระบบ ก.พ. หรือตามหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น สตช. กองทัพ ผู้สอบผ่านจะได้รับการบรรจุตามตำแหน่งกำหนดใน 3 หลักการ คือ 1.การสอบแข่งขันปกติ เป็นการเปิดสอบตามตำแหน่งที่ต้องการในแต่ละปีอันจะมีการสอบภาคความรู้ทั่วไปเมื่อผ่านต้องสอบภาคความรู้เฉพาะตำแหน่ง, สัมภาษณ์, ตรวจร่างกาย และตรวจประวัติ 2.การเข้ารับราชการแบบสิทธิพิเศษ อันเป็นการบรรจุแบบไม่ต้องสอบแข่งขัน เช่น กรณีเป็นบุตรข้าราชการเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ และ 3.การบรรจุตำแหน่งขาดแคลนเฉพาะทาง ซึ่งบางครั้งหน่วยงานมักมีตำแหน่งเฉพาะขาดแคลนซึ่งก็ใช้วิธีรับสมัครคัดเลือกบรรจุผ่านระบบเฉพาะตามอัตรา เพื่อเข้ามาอบรมหลักสูตรเพิ่มเติมให้เข้าใจในระเบียบ วินัย และหน้าที่ของตำแหน่งก่อนจะถูกส่งไปประจำยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามสาขาวิชาชีพของตนทว่าการบรรจุตำแหน่งขาดแคลนนี้จะถูกวิจารณ์ว่า “เปิดช่องให้ลูกหลานผู้ใหญ่เข้ารับราชการง่ายกว่าคนทั่วไป” มักเกิดข้อสงสัยความโปร่งใสว่า “สอบผ่านจริง หรือถูกวางตัวไว้ล่วงหน้า” แต่การนำลูกหลานผู้ใหญ่เข้ารับราชการนั้น “ก็ไม่ได้ผิด” เพราะหลายคนมีความรู้ทั้งเรียนเก่ง และมีวุฒิการศึกษาจากต่างประเทศ แล้วก็จบเฉพาะทางตรงกับ “ตำแหน่ง” แต่ก็มีการสอบข้อเขียน สัมภาษณ์ปกติ เพราะการจะเข้ามาโดยไม่สอบเลยนั้นไม่สามารถทำได้ตามระเบียบ สิ่งนี้มักจะเป็นหลักฐานการได้มาของบุคคลที่เข้ารับราชการโดยเฉพาะกระบวนการสอบเข้าเป็นตำรวจถือว่าเป็นหนึ่งในระบบที่มีการทุจริตน้อยที่สุดเว้นแต่เงื่อนไขสิทธิเพิ่มเติมกรณี “ลูกราชการทำคุณงามความดีจะมีคะแนนพิเศษ” ซึ่งก็เป็นตามระเบียบเปิดช่องให้ไว้ เพียงแต่การรับสมัครอาจทำกันเงียบๆ เลยถูกมองว่าเตรียมคนไว้ หรือเปิดช่องให้บางกลุ่มหรือไม่ส่วนการเลื่อนตำแหน่งก็มีระยะเวลาอย่าง “ผู้สอบตำรวจใหม่” ถ้าเป็นวุฒิ ม.6 ก็เริ่มจากชั้นประทวน หากมีวุฒิ ป.ตรี ผ่านการอบรมเลื่อนเป็น ร.ต.ต.จะเลื่อนขั้นตามอายุราชการจาก ร.ต.ต.ถึง ร.ต.อ.ใช้เวลาประมาณ 3 ปี ซึ่งคนรุ่นเดียวกันเข้าสอบพร้อมกันก็ได้เลื่อนตำแหน่งตามรอบเกือบทั้งหมดเพียงแต่ไม่เป็นข่าวหรือไม่มีใครพูดถึงเท่านั้นประการถัดมา “โอนย้ายระหว่างหน่วยงาน” เรื่องนี้มีความซับซ้อนทำได้ยากหากไม่มีระบบอุปถัมภ์สนับสนุนช่วยเหลือจากระบบดังกล่าว ตัวอย่างข้าราชการหญิงขอย้ายจาก สตช.ไปกระทรวงมหาดไทย (มท.) ต้องได้รับอนุมัติจากต้นสังกัด หาก สตช.เห็นว่ากำลังพลขาด และไม่อนุมัติ แม้ว่า มท.จะมีตำแหน่งรองรับก็ไม่สามารถย้ายได้เพราะตามหลักทั่วไป “ผู้ขอย้ายมักติดต่อล่วงหน้ากับหน่วยงานปลายทางไว้แล้ว” เมื่อทราบว่าตำแหน่งว่างพร้อมรับตัวก็ต้องมายื่นขออนุมัติจาก “ต้นสังกัด” อีกกรณีหน่วยงานปลายทางเป็นฝ่ายต้องการด้วยบุคคลนั้นมีความสามารถเฉพาะด้านก็ทำหนังสือถึงต้นสังกัดบุคคลนั้น หากต้นสังกัดไม่ขัดข้องการโยกย้ายก็เกิดขึ้นได้ จริงๆแล้วการโยกย้ายระหว่างหน่วยงานนั้น “ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะสาวคนดังที่ตกเป็นข่าว” แต่ที่ผ่านมามีการโยกย้ายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอด เช่น ข้าราชการ มท. ย้ายมาสังกัด กทม. หรือข้าราชการวิศวกรรม กทม.อาจย้ายกลับไปที่ มท.ได้เช่นกัน แม้แต่ตำรวจบางคนย้ายไปปฏิบัติงานด้าน ปภ.ในสังกัดของ กทม.ก็มีสำหรับหลักเกณฑ์การย้ายนั้น “มักพิจารณาจากคุณสมบัติตรงตามความต้องการของภารกิจหรือไม่” ซึ่งไม่ใช่แค่มีวุฒิ หรือประสบการณ์ตรงก็ย้ายได้ทันที หากคุณสมบัติไม่ตรงกับความต้องการก็อาจถูกปฏิเสธ อย่างไรก็ตามบางหน่วยงานอาจเปิดรับก่อนแล้วค่อยปรับหน้าที่ให้เหมาะสมภายหลังเพื่อทำให้การโยกย้ายง่ายขึ้นก็มีแต่ต้องยอมรับว่า “การโยกย้ายข้ามห้วยคนธรรมดาทำได้แต่ยาก” เพราะในวงข้าราชการไทยยังมีลักษณะของระบบอุปถัมภ์ ทำให้การโยกย้ายข้ามหน่วยงาน และสายงานจึงไม่ง่ายหากไม่มีผู้สนับสนุน หรือพูดง่ายๆ ถ้าจะย้ายข้ามห้วย “อย่างน้อยที่สุดต้องมีผู้ใหญ่ช่วยผลักดัน” เพื่อหาช่องทางโอนย้ายให้อยู่ภายใต้กรอบระเบียบนั้นเพราะโยกย้ายไม่ถูกต้อง “ผู้ช่วยเหลือก็ลำบากด้วย” ดังนั้นการย้ายในระบบอุปถัมภ์หากทำตามระเบียบก็ไม่ผิด อย่างบุคคลตกเป็นข่าวทำถูกตามขั้นตอน แต่ความถูกต้องกับความเหมาะสมอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกันเช่นนี้ทางแก้ต้องเริ่มที่ “ผู้นำในองค์กร หรือผู้มีอำนาจบริหาร” ถ้ายึดหลักธรรมาภิบาลทำตามระเบียบอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา “ระบบก็จะดีขึ้น” แต่หากใช้ช่องว่างกฎหมาย หรือระบบอุปถัมภ์เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องระบบก็จะวนกลับไปที่เดิมคือ “ความไม่เป็นธรรม” ผลตามมาคนดีขยันทำงานอาจไม่ได้รับโอกาสที่ควรได้ อันที่จริงแล้ว “ระบบอุปถัมภ์ฝังลึกในหลายระดับของสังคมมานาน” แต่ในบางกรณีก็มีด้านดีหากผู้ใหญ่ใช้วิจารณญาณผลักดันคนดีมีความรู้ความสามารถจริงเข้าสู่ตำแหน่งราชการก็จะก่อให้เกิดประโยชน์กับองค์กร...ประเทศ เพราะลูกหลานผู้ใหญ่บางคนก็เก่งจริง เรียนจบต่างประเทศ มีศักยภาพสามารถสร้างผลงานได้จริงๆในทางตรงกันข้าม “ด้านไม่ดี” เมื่อคนไม่มีความรู้ความสามารถกลับได้ตำแหน่งเพราะมีแบ็กดีก็ส่งผลเสียต่อองค์กร “ขวาง โอกาสคนที่เหมาะสม” บั่นทอนขวัญกำลังใจเพื่อนร่วมงานที่ขยันแต่ไร้เส้นไม่ได้เติบโต “ระบบประเมินผลงานก็ไร้ความหมาย” คนทำงานหมดใจ หน่วยงานไร้ประสิทธิภาพ สุดท้ายประชาชนก็ได้รับผลกระทบ!นี่คือไส้ในของระบบราชการไทย “ถูกครอบงำจากระบบอุปถัมภ์” ซึ่งเป็นทางลัดให้โอกาสเฉพาะบางคน กีดกันคนเก่ง ขวางคนดี และบั่นทอนแรงจูงใจ หากต้องการพัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม จำเป็นต้องกล้ายอมรับและแก้ไขระบบนี้อย่างจริงจัง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม