ศาลฎีกาฯเอกฉันท์ 5-0 สั่งบังคับโทษจำคุก “ทักษิณ” 1 ปี คดีชั้น 14 ชี้การบังคับโทษจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กฎราชทัณฑ์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ส่งตัวไป รพ.ตำรวจไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เชื่อทำทีเป็นแน่นหน้าอกยกเป็นข้ออ้างใบรับรองแพทย์ก็ไม่ตรงความจริง ย้ำได้ประโยชน์จากป่วยทิพย์ ราชทัณฑ์คุมตัวไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนย้ายไปเรือนจำคลองเปรม “ทักษิณ” สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมายุติลง “แพทองธาร” ขอบคุณทุกกำลังใจ ลั่นพ่อคือผู้นำจิตวิญญาณ เป็นประวัติศาสตร์นายกฯคนแรกที่ติดคุก มุ่งมั่นลุยกับเพื่อไทยต่อ “อนุทิน” ไม่อยากเห็นนายเก่าสภาพแบบนี้ กำชับต้องไม่มีวีไอพี ลุยคนละครึ่งเปย์เต็มที่ ส่อพับรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งชื่อ ครม.ตรวจประวัติครบแล้ว เปิดตัว “บิ๊กเล็ก” รมว.กห. พท.ไม่ปิดกั้นพวกปันใจย้ายค่ายศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ 1 ปี ในคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ชี้การบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อนเจ้าหน้าที่คุมตัวนายทักษิณถอดเสื้อสูทขึ้นรถตู้เรือนจำไปบังคับคดีทันทีคุมเข้มก่อนอ่านคำสั่งคดีชั้น 14 เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 9 ก.ย. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลนัดอ่านคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 เรื่องการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551, คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552, คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ศาลฎีกาฯได้ไต่สวนพยานมา 7 นัดเพื่อหาข้อเท็จจริงในการบังคับโทษคดีถึงที่สุดกับนายทักษิณว่า เป็นไปตามผลคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ หรือไม่ ตั้งแต่ช่วงเช้ามีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) 170 นาย มาควบคุมรักษาความปลอดภัยด้านหน้าศาลฎีกาฯ ริมฝั่งคลองหลอด มีแผงเหล็กกั้นกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปด้านใน มีกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งมายืนรอให้กำลังใจนายทักษิณ ขณะที่ช่างภาพสื่อมวลชนถูกกันไว้ด้านนอก ศาลอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวฟังในห้องพิจารณาคดีได้เฉพาะคนที่ทำเรื่องขออนุญาต และห้ามบันทึกการอ่านคำสั่ง“ทักษิณ” มาพร้อม “แพทองธาร”ต่อมาเวลา 08.30 น. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายทักษิณ มาถึงศาลฎีกาพร้อมทีมทนายความ และเวลา 09.25 น. นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางมาด้วยรถยนต์เบนซ์ มายบัค ทะเบียน พร 195 กรุงเทพมหานคร พร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ บุตรสาว ที่มาพร้อมกับสามีของทั้งคู่ เมื่อมาถึงนายทักษิณยกมือทักทายสื่อมวลชนและกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาตะโกนให้กำลังใจ ก่อนเข้าไปทักทายทีมทนายความ และเดินเข้าไปภายในศาลฎีกาฯ ขณะที่คู่ความทั้งหมดอยู่ในห้องพิจารณาคดี มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช มาร่วมให้กำลังใจ และนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาฟังคำสั่งด้วยชี้กฎราชทัณฑ์ต้องอยู่ภายใต้ ก.ม.จากนั้นศาลเริ่มอ่านคำสั่ง โดยเห็นว่าการไต่สวนเพื่อตรวจสอบว่าได้บังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองข้อ 61 วรรคสอง แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ แต่การนำผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำด้วย มิใช่ว่าเมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หรือกรมราชทัณฑ์ใช้อำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาลศาลมีอำนาจตรวจสอบบังคับโทษหากความปรากฏแก่ศาลว่าอาจมีการบังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ย่อมมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตาม หลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลตาม ป.วิธีพิจารณาความอาญามาตรา 89 หรือไม่ไต่สวนไม่ซ้ำคำสั่งที่ยกไปก่อนหน้าการไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งของศาล ที่ให้ยกคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2566 และวันที่ 15 ก.พ.2567 หรือไม่ เห็นว่าที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ได้วินิจฉัย ตามที่นายชาญชัย อิสรเสนารักษ์ ยื่นคำร้องมาก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ฉบับ ก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้องฉบับแรกที่ยื่นเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2566 ว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้อง ฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อวันที่ 5 ก.พ.2567 ว่ากรณีตามคำร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตาม ป.วิธีพิจารณาความอาญามาตรา 24 หรือไม่ ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ กำหนดประเด็นการไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล แสดงให้เห็นว่าอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล ซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน ทั้งการไต่สวนของศาลไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคำร้องของนายชาญชัย การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้องทั้งสองฉบับวินิจฉัยบังคับโทษตามหมายจำคุกกรณีมีการบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ในวันที่ 22 ส.ค.2566 หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร รับตัวจำเลยไว้ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ได้นำตัวไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 เป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจร่างกายจำเลยขณะรับตัว และสรุปประวัติการรักษาโรคของจำเลย จากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศ รวม 10 โรค อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง 3 โรคที่แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เห็นว่าจำเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจ เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับ มีความเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำ มีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน สอดคล้องกับความเห็นของ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภาไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 เวลา 22.00 น. จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจำเลยได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาต จากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจำเลยไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าว และอยู่ห่างจากเรือนจำพิเศษฯ เพียง 200 เมตร ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ และกฎกระทรวงดังกล่าว มีสาระสำคัญของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่ต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้ เมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็วตามมาตรา 55 วรรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าวข้อ 2 วรรคหนึ่ง หากแพทย์เห็นว่าผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจำแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาล เสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ จึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้ การส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำซ้ำขัดกับระเบียบของ รพ.ตำรวจนอกจากนี้ การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉิน เนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มภร.) ไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ ที่กำหนดแนวทางการตรวจรักษาในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ในข้อ 53 ว่าในกรณีนอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุ จะเป็นผู้ให้การตรวจ รักษา และกำหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยในข้อ 6 ว่าให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจจัดไว้ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่นไม่มีแพทย์หัวใจดูอาการในทันทีประกอบกับได้ความจาก ศ.เกียรติคุณ นพ.ประสิทธิ์ และ ศ.นพ.ไชยรัตน์ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจำเลยในคืนที่รับตัว สรุปได้ว่าเมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา เอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 14 และที่ 15 พบว่าในวันที่ 23 ส.ค.2566 ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจในวันที่ 24 ส.ค.2566 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้วเชื่อทำทีแน่นหน้าอกเป็นข้ออ้างและยังได้ความจาก นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และนพ.พงศ์ภัค แพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่าที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลม และยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจในวันที่ 23 ส.ค.2566 แสดงให้เห็นได้ว่าอาการจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ เชื่อได้ว่าในคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกแต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษฯใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ นอกจากนี้ยังได้ความจาก นพ.วัฒน์ชัย และ นพ.พงศ์ภัคว่า อาการจำเลยตามที่ระบุในเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจนับแต่วันที่ 24 ส.ค.2566 ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจำเลยได้ ข้อเท็จจริงในส่วนนี้ พ.ต.อ.นพ.ชนะ เบิกความยืนยัน เห็นได้ว่าอาการแน่นหน้าอกของจำเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่อ้าง อาการก็ทุเลาดีขึ้นและสามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษฯ หรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.เป็นต้นไปใบรับรองแพทย์ไม่ตรงความจริงสำหรับการรักษาจำเลยที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.2566 จนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาลตำรวจวันที่ 18 ก.พ.2567 แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษฯ และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษฯ ใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ 15 ก.ย.2566 วันที่ 18 ต.ค.2566 และวันที่ 21 ธ.ค.2566 เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน อ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลตำรวจ และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อมแพทย์เคยเสนอจำเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากอยู่โรงพยาบาลตำรวจ แต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลัง และเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใด จนกระทั่งจำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจย้ำจำเลยได้ประโยชน์จากป่วยทิพย์ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่มีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ ไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจำเลยเอง นอกจากนั้นยัง ได้ความว่าจำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ ปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการ และเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทำให้การรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจขยายระยะเวลาออกไป จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษฯจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลย เพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษาบังคับโทษไม่ชอบต้องจำคุกอีก 1 ปีเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลยเหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 ส.ค.2566 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกจำเลยสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจำเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จำเลยต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการเผยมติเอกฉันท์ 5-0 ให้บังคับโทษผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคำสั่งศาลฎีกาฯไม่ได้มีการเขียนมติขององค์คณะไว้ในคำสั่ง แต่มีรายงานว่ากรณีถ้ามติเป็นเอกฉันท์จะไม่มีการระบุมติไว้ในคำสั่ง ยกเว้นเเต่กรณีที่มีความเห็นไม่ตรงกันจึงจะเขียนมติเอาไว้ เท่ากับคำสั่งศาลฎีกาฯในวันนี้ที่ไม่ลงรายละเอียดมติองค์คณะเอาไว้ มติจึงเป็นเอกฉันท์ 5-0ราชทัณฑ์คุมตัวไปเรือนจำพิเศษฯต่อมาเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวนายทักษิณขึ้นรถตู้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยนายทักษิณยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ถอดสูทออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีเข้ม ก่อนถูกนำตัวออกประตูหน้าศาลฎีกา ฝั่งถนนราชดำเนินใน มุ่งหน้าไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรับโทษตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป ทั้งนี้ ตามขั้นตอนต้องเข้าสู่การจำแนกผู้ต้องขัง นายทักษิณถือเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ 76 ปี ต้องจัดทำประวัติรายละเอียดเกี่ยวกับคดี ประวัติการต้องโทษ ประวัติการรักษาพยาบาล ต้องตรวจร่างกายผู้ต้องขังเข้าใหม่ พิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือ การตรวจค้นตัวสัมภาระ และเงินสด ส่วนเสื้อผ้า สิ่งของมีค่า เครื่องประดับ นาฬิกา สร้อยแหวน พระเครื่อง ไม่อนุญาตให้นำเข้าไป รวมถึงตรวจคัดกรองโรค หากระหว่างการกักโรค พบว่าผู้ต้องขังมีปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายที่เป็นข้อกังวล หรือโรคประจำตัวกำเริบ จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่เรือนจำและแพทย์ประจำเรือนจำ จะพิจารณาเพื่อส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งจะมีห้องกักโรคโควิดอยู่แล้วเช่นเดียวกัน แต่หากอาการเจ็บป่วยได้รับการรักษาทุเลาดีขึ้น ก็จะต้องนำตัวผู้ต้องขังกลับมาคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ดังเดิม ส่วนเรื่องการฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากผู้ต้องขัง มีจำนวนเงินสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทล่าสุดย้ายตัวไปยัง “คลองเปรม”กระทั่งเวลา 17.10 น. ขบวนรถตู้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร สีขาว 3 คัน วิ่งไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม ผู้สื่อข่าวพยายามเจาะจงไปที่รถตู้คันที่สอง ทะเบียน 1 นง 7412 กรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นรถตู้คันที่นายทักษิณนั่งกลับมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯช่วงกลางวัน ผู้สื่อข่าววิ่งติดรถตู้คันดังกล่าวเพราะมีการเปิดกระจก เห็นนายทักษิณนั่งติดข้างกระจก สวมเสื้อสีฟ้า กางเกงขาสั้นสีดำ ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเสื้อสำหรับผู้ต้องขังเด็ดขาดที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ผู้สื่อข่าวตะโกนสอบถามนายทักษิณว่า “มีอะไรอยากพูดกับสังคมหรือไม่” แต่นายทักษิณไม่ตอบคำถาม แต่หันมามองผู้สื่อข่าวพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย และยกนิ้วโป้งข้างขวาให้ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพ จากนั้นขบวนรถได้รีบเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม มีรถตู้ Mercedes-Benz สีเทา ทะเบียน 7 กอ 559 กรุงเทพมหานคร เป็นรถของครอบครัวชินวัตร ขับตามไปห่างๆ“ทักษิณ” สำนึกพระมหากรุณาธิคุณวันเดียวกัน ทีมงานนายทักษิณทวีตข้อความผ่าน X ระบุว่า “ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกแก่ผมคงเหลือเวลา 1 ปี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ต่อทั้งตัวผม และครอบครัว ขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษาในวันนี้ ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่นายกฯ ตั้งแต่ปี 44-49 ได้พยายามผลักดันทุกนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทย ให้พรรคการเมืองแข่งขันกันด้วยนโยบาย สร้างประชาธิปไตยที่กินได้จากผลงานของรัฐบาลที่ทำได้จริง ที่เป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดในฐานะนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน แม้ทุกคดีจะเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลของตนเมื่อปี 49”ขอมองไปข้างหน้าทุกอย่างมีข้อยุติ“แต่วันนี้ขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใดๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตัวเอง ขอขอบคุณประชาชนที่ให้การสนับสนุนตลอดมา ขอบคุณนักการเมือง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และเพื่อนมิตรทั้งหลายที่เคียงข้างกันทั้งในยามสุขและยามยาก ตนตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ เพื่อส่งกำลังใจให้ทุกคนเดินไปข้างหน้า ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ด้วยอุดมการณ์และจิตวิญญาณที่เรามีร่วมกันมา จนกว่าจะถึงวันที่เราได้เดินร่วมทางกันอีกครั้ง จากวันนี้แม้ผมจะไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ผมจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทย และประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้ ขอบคุณครับ” นายทักษิณระบุ“อิ๊งค์” ขอบคุณทุกกำลังใจส่งให้พ่อขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ครอบครัวรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อภัยโทษและลดโทษให้คุณพ่อ พวกเราทั้งครอบครัวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ เรารู้สึกเรื่องนี้ในทุกๆวัน และขอบคุณทุกท่านที่ส่งกำลังใจห่วงใยให้คุณพ่อและครอบครัวของเรา อย่างไรก็ตาม นายทักษิณเป็นผู้นำจิตวิญญาณในเรื่องการเมือง ที่ผ่านมาผลงานต่างๆที่ทำเพื่อบ้านเมืองท่านยังเป็นคนที่นึกถึงบ้านเมืองเสมอใจจริงในการหวังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของพี่น้องประชาชนกินดีอยู่ดีตัวดิฉันเอง และครอบครัวมีความเป็นห่วงคุณพ่อ และภูมิใจที่คุณพ่อได้สร้างประวัติศาสตร์มากมายให้ประเทศไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนในประเทศมุ่งมั่นทำงานในฐานะฝ่ายค้านต่อน.ส.แพทองธารกล่าวว่า วันนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์อีกเรื่องหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องจำคุกเรื่องนี้ก็อาจจะค่อนข้างหนักนิดหนึ่ง แต่กำลังใจดีทั้งคุณพ่อและครอบครัว ส่วนตัวดิฉันและพรรคเพื่อไทยยังมุ่งหน้าทำงานต่อเป็นฝ่ายค้านและทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนตรวจสอบรัฐบาลต่อไปในส่วนของพรรคทุกคนมีกำลังใจดี ขอบคุณทุกภาคส่วนประชาชนทุกคนที่ให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างกันตลอดที่ผ่านมา“ชาญชัย” ชมคิดถูกกลับมารับโทษนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ร้องคดีกล่าวว่า ศาลได้อ่านการกระทำของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ว่ากระทำความผิดอะไรบ้าง ความผิดนี้ ป.ป.ช.จะได้ดำเนินการต่อ เพราะศาลเองทราบว่ามีทาง คปท.ไปร้องที่ ป.ป.ช. ส่วนประการสุดท้ายนั้น ศาลบอกว่าคุณทักษิณรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ป่วยยังไปอยู่เบื้องหลังในการกระทำความผิดเรื่องนี้ ฉะนั้นการกระทำความผิดจะอ้างว่าเป็นความผิดเจ้าหน้าที่ไม่ได้เพราะนายทักษิณคือผู้สนับสนุนหรือตัวการ ขอบคุณนายทักษิณที่แสดงความรับผิดชอบ กลับมาฟังคำพิพากษาศาล คิดถูกที่กลับมารับโทษ แต่ประเทศไทยไม่คุ้มหรอกติดคุกปีเดียวเป็นเรื่องที่กฎหมายทำได้เท่านี้เอง“ภูมิธรรม” ยันกำลังใจเพื่อไทยยังดีที่ทำเนียบรัฐบาลนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานการประชุม ครม.นัดสุดท้ายของรัฐบาลรักษาการว่า คดีของนายทักษิณเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตย อย่าไปคิดอะไรมาก เมื่อถามว่าขวัญและกำลังใจพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไร นายภูมิธรรมตอบว่า กำลังใจพรรคเพื่อไทยดีมาตั้งแต่ต้นและยังเข้มแข็ง รู้อยู่แล้วว่านายทักษิณตัดสินใจ รู้ว่าต้องเผชิญอะไรและไม่ได้หนีไปไหน และได้พิสูจน์ว่าไม่ได้หนีไปไหน เมื่อถามว่ามีรายงานว่านายทักษิณฝากพรรคไว้กับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจและสมาชิกพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรมตอบว่า ท่านฝากพวกเราทุกคน อยากให้รักษาจิตวิญญาณที่จะทำให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่านายทักษิณเตรียมใจไว้อยู่แล้วหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า ทุกคนยอมรับกระบวนการยุติธรรม ไม่มีอะไรต้องเตรียมใจ ไม่เตรียมใจกินข้าวเที่ยงอำลานักข่าวทำเนียบต่อมานายภูมิธรรม พร้อมด้วยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกฯ รับประทานอาหารร่วมกับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบ ที่ข้างรังนกกระจอก 3 แสดงความขอบคุณกับระยะเวลา 2 ปีที่ทำงานร่วมกันมา บรรยากาศเป็นอย่างผ่อนคลาย นายภูมิธรรมกล่าวว่า วันนี้เราพยายามเคลียร์งานที่อยู่ในหน้าที่ให้หมด นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ กำลังฟอร์มจัดตั้งรัฐบาลอยู่ ขณะที่ความเป็นรัฐมนตรีของพวกเรากำลังจะสิ้นสุดลง เมื่อ ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯ ช่วงเวลานี้ต้องเคลียร์งานทั้งหมดให้ ครม.ชุดใหม่มาดำเนินการต่อ วันนี้ตั้งใจมารับประทานอาหารกับสื่อมวลชนหลังทำงานร่วมกันมา มีรักกันบ้างกระทบกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา รู้สึกเสียดายที่อาจเร็วไปนิดที่ต้องจากกันไป แต่ไม่เป็นไรพวกเราเริ่มจะเก็บของ เพราะนายกฯจัดตั้งรัฐบาลใกล้เสร็จแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลเรามีหน้าที่ พวกเราพร้อมทำพรรคต่อยังยึดมั่นในอุดมการณ์ พรรคเพื่อไทยยังมีต้นทุนอยู่อย่างน้อยประชาชน 10 ล้านคนยังรักและผูกพัน เราพร้อมจะสู้ ส่วนใครจะทำอะไรถือเป็นเอกสิทธิ์พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวสั้นๆ หลังศาลฎีกาฯ มีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปีว่า ให้เป็นไปตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ในที่ประชุม ครม.ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้“อนุทิน” ไม่อยากเห็นนายเก่าสภาพนี้ช่วงบ่ายที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้บังคับโทษจำคุก 1 ปี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า “ผมก็เสียใจ ผมก็เห็นใจท่าน” คนระดับท่าน คนระดับนี้ที่บริหารประเทศมา ตนก็ไม่อยากให้ท่านมาเจอสภาพเช่นนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายอนุทินมีท่าทีเศร้า เมื่อผู้สื่อข่าวยิงคำถามประโยคนี้ และพูดน้ำเสียงสะอึกระหว่างตอบคำถาม ต่อมานายอนุทินให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอีกครั้งว่ากรณีนายทักษิณจะไม่มีคำว่าวีไอพีใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ไม่มีคำว่าวีไอพีอยู่แล้ว มีกฎหมายมีกฎระเบียบมีขั้นตอนกำหนดไว้อยู่ ถ้าท่านมีสิทธิขอเข้าเกณฑ์ เราจะไปบอกไม่ให้ก็ไม่ได้ อย่าไปกังวลพูดชัดเจนแล้วว่าจะไม่แทรกแซงไม่ก้าวก่ายไม่ชี้นำไม่ยัดเยียดในทุกเรื่อง ให้ทุกเรื่องเป็นไปตามกฎหมาย ให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่ายลุยคนละครึ่งเปย์เต็มที่ผู้เสียภาษีนายอนุทินยังกล่าวถึงกระแสตอบรับที่รัฐบาลใหม่จะปัดฝุ่นโครงการคนละครึ่งว่า กระแสดีเพราะเราฟังประชาชน ถ้าประชาชนได้ประโยชน์เราจะไปก๊อบปี้ใครเราก็จะทำ รวมถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคต้องเดินต่อไป คุยกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ ประภาศ ว่าที่ รมว.คลัง หากไม่กระทบวินัยการเงินการคลัง หรืองบประมาณและช่วยเหลือประชาชนได้ จะออกไปรูปแบบ 60 : 40 เพื่อจูงใจกลุ่มคนที่เสียภาษี ที่คนส่วนใหญ่ก็เสียภาษีอยู่แล้ว แต่หากเป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เสียภาษี ก็ 50 : 50 ถือเป็นไอเดียที่นายเอกนิติเสนอและตนเห็นด้วย สั่งให้ไปพิจารณาเพิ่มเติม แต่ต้องไม่ผิดรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และไม่เสียวินัยการเงินการคลัง ยืนยันว่าโครงการจะทันในกรอบ 4 เดือน และนายเอกนิติแจ้งมาว่างบประมาณมีดำเนินการ พร้อมเปรียบว่ากระเป๋ายังมีเหมือนเดิมส่อพับรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายผู้สื่อข่าวถามว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาลเพื่อไทยจะสานต่อหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า โครงการนี้เป็นประโยชน์แต่ต้องมาดูว่าบางโปรเจกต์ทำแล้วขาดทุน หรือต้องไปซื้อมาก็ไม่ได้ เราต้องรักษาวินัยการเงินการคลัง และโครงการต้องอยู่รอดพึ่งพาตัวเองได้ ไม่ใช่ 20 บาทแล้วมานั่งหาส่วนต่างทุกปี ตั้งเป็นงบประมาณ หรือไปซื้อกิจการจากลงทุนมา ไม่ใช่ เพราะคนที่ลงทุนต้องเสี่ยง ส่วนปัญหาน้ำท่วม ตอนนี้กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยต้องมีแผนเผชิญเหตุ เราให้การสนับสนุน เน้นในเรื่องของการเยียวยา เพราะเวลาเราน้อย เรื่องนี้เป็นหลักไม่ก้าวก่ายคดีเขากระโดงเด็ดขาดนายอนุทินกล่าวถึงเรื่องคดีเขากระโดงว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ไม่กลั่นแกล้งใคร ไม่มีการก้าวก่าย มีแต่จะไปเร่งหากพบว่ามีความผิดก็ต้องยึด หากไม่ผิดก็ต้องสรุปให้ชัดว่าไม่ผิดอย่างไร แม้ต้องเข้าสู่กระบวนยุติธรรมก็ต้องดำเนินการ ยืนยันไม่มีการแทรกแซงไม่ก้าวก่ายเป็นอันขาด เพราะไม่มีเวลา ขอเอาเวลาไปทำอย่างอื่นไปดูแลประชาชนดีกว่า เมื่อถามว่าข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยต้องปรับทัพใหม่หรือไม่ นายอนุทินไม่ตอบแต่กล่าวสั้นๆว่า “แหม ถาม” ก่อนจะหัวเราะออกมาส่งชื่อ ครม.ตรวจประวัติครบแล้วเมื่อถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบประวัติผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี นายอนุทินตอบว่า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณสมบัติครบทุกคนแล้ว รมว.ยุติธรรมก็ส่งไปแล้ว คุณสมบัติของ รมว.ยุติธรรมต้องเป็นคนยุติธรรม และวันนี้เชิญ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม มาพูดคุยที่พรรคเพราะวันพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปประชุมจีบีซี ที่เกาะกง กัมพูชา เหตุผลที่เลือก พล.อ.ณัฐพล เพราะต้องการให้งานกระทรวงกลาโหมต่อเนื่อง เรามองเรื่องประเทศชาติเป็นสำคัญ แต่เราอาจมีแนวทางใหม่ให้ท่าน คือต้องหาทุกวิถีทางให้คนไทยหรือแม้กระทั่งคนกัมพูชาทำมาหากินค้าขาย ทำให้เศรษฐกิจของประชาชนทั้ง 2 ประเทศกลับมาเป็นเหมือนเดิม ส่วนการทหารก็ว่ากันไป เมื่อถามว่าจะยกหูหานายฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชาหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า จะดำเนินการทุกช่องทาง ทางการทหารก็จะไม่ลดราวาศอก ใช้องคาพยพทุกด้านทำให้ความสัมพันธ์ 2 ประเทศสู่จุดที่เป็นปกติตั้ง รมต.ยึดหลักทำได้เร็วทำได้เลยเมื่อถามว่าอายุรัฐบาลมีเพียง 4 เดือน จะยึดหลักอะไรเลือกคนที่มาเป็นรัฐมนตรี นายอนุทินตอบว่า ทำได้เร็วทำได้เลย ถึงต้องเลือกคนที่มีประสบการณ์ สังเกตได้ว่าไม่ได้เชิญพวกนักการเมืองอาชีพเข้ามาหลายตำแหน่ง แต่ต้องผสมทางการเมืองด้วย เพราะการเกิดขึ้นของรัฐบาลนี้เกิดจากพรรค การเมือง เราชัดเจนว่าเข้ามา 4 เดือนยุบสภา ฉะนั้นต้องตอบโจทย์การเมืองเช่นกัน เมื่อถามว่าเหตุใดจึงเลือกนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาเป็นรองนายกฯด้านกฎหมาย นายอนุทินตอบว่า สมัยเข้ามาเป็นรัฐมนตรีครั้งแรก นายบวรศักดิ์เป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นผู้โทร.มาแจ้งว่าได้ตำแหน่ง จึงเคารพนับถือมาตั้งแต่ตอนนั้น และจะให้มาทำเรื่องรัฐธรรมนูญด้วย ส่วนรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ จะให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ นั่งรองนายกฯควบ รมว.คลังเพราะ ต้องไปพูดคุยในเวทีโลก เมื่อถามว่าจะนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯเมื่อใด นายอนุทินตอบว่า ทันทีที่ตรวจสอบประวัติเสร็จสิ้นเปิดตัว “บิ๊กเล็ก” รมว.กห.อำนาจเต็มจากนั้นนายอนุทินได้พา พล.อ.ณัฐพลมาโชว์ตัวและให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอย่างเป็นทางถึงการรับตำแหน่ง รมว.กลาโหมว่า เชิญ พล.อ.ณัฐพลมารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม เพื่อให้มั่นใจว่าภารกิจเกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ดำเนินต่อไปโดยไม่มีสะดุด ยืนยันกับท่านไปว่ามีอำนาจเต็มกำกับดูแลกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลนี้ สำหรับข้อเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 43-44 เราเสนอไปแล้วว่าให้ตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาในสภาผู้แทนราษฎร หลังให้สัมภาษณ์นายอนุทินพา พล.อ.ณัฐพล ร่วมดื่มกาแฟที่ร้านจาริสต้าเลขาฯ ครม.รับรายชื่อ รมต.ครบแล้วนางณัฐฎ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กล่าวว่า การตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียังไม่เสร็จ คืบหน้าไปไม่มาก ตอนนี้นายกฯส่งรายชื่อมาครบทุกคนแล้ว กำลังดำเนินการตรวจอยู่ ส่วนใหญ่เป็นรัฐมนตรีเก่าที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติมาแล้ว แต่เพื่อไม่ให้มีปัญหาก็ตรวจใหม่ทุกคน เพราะบางทีระหว่างทางอาจมีอะไรที่เราไม่ทราบ พยายามให้ทันภายในสัปดาห์นี้ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่ตรวจสอบ ส่วนบางคนที่เคยตรวจสอบคุณสมบัติแล้วไม่ผ่าน ครั้งนี้มีเสนอมาอีกต้องใช้มาตรฐานเดิม บวกกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่สร้างบรรทัดฐานใหม่“อ้วน” อวยพร “นายกฯหนู” ทำเต็มที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ กล่าวว่าขออวยพรนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ที่มาด้วยเสียงข้างมาก ให้ทำหน้าที่เต็มที่ ทำให้ประเทศชาติการเมืองหลุดพ้นกรอบปัญหาเดิมๆ อยากให้จัดการปัญหาที่คั่งค้างที่เรายังทำไม่เสร็จ เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะไปทำบทบาทอะไร นายภูมิธรรมตอบว่า กลับไปทำงานพรรค การเมืองเป็นไปตามสภาพขึ้นได้ลงได้ ได้คุยกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า พรรคยังมีต้นทุนอยู่มาก ยังแข็งแรง อย่างน้อย สส.ในพื้นที่เรามีหลักร้อยบวก-ลบ มีความแข็งแรงในพื้นที่ และ น.ส.แพทองธารยังพร้อมเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แม้จะไม่มีตำแหน่งใดๆแล้ว อยากให้ สส.และสมาชิกพรรคมั่นใจว่าเรายังอยู่ จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เชื่อว่าหลายคนมีจุดยืนอยู่กับเราเขากระโดง-ฮั้ว สว.ไม่ใช่ความแค้นเมื่อถามถึงการดึงคำร้องที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และหัวหน้าพรรคประชาชน จากการทำข้อตกลงเอ็มโอเอ เข้าข่ายครอบงำการจัดตั้งรัฐบาล นายภูมิธรรมตอบว่า เอามาดูรายละเอียดที่ยังไม่เรียบร้อย ไม่ใช่ถอนหรือไม่ถอน เราจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่และเข้มแข็ง สมศักดิ์ศรี ส่วนเรื่องคดีเขากระโดง และฮั้ว สว. ไม่ใช่เรื่องความแค้น เป็นเรื่องของประเทศชาติ มั่นใจว่าประชาชนคอยจับตามองอยู่ คิดว่าไม่น่ามีอะไรไปแทรกแซงได้ เชื่อว่าประชาชนคงไม่ยอมให้เอาที่ดินของพระเจ้าอยู่หัว ที่ดินของรัฐเบียดบังไปได้ รวมถึงเรื่องฮั้ว สว. 2 เรื่องนี้ทำลายสถาบันศาล สถาบันยุติธรรม ทำลายประเทศ ถ้าเขาทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตก็ไม่ตายหรอก แต่หากเอาที่คืนหลวงไม่ได้ ทำให้เรื่องฮั้ว สว.หายไป ก็เป็นจุดตายอยู่ที่เขาเลือก“จิรายุ” เย้ย ปชน.เอี่ยว ครม.เต้าหู้ยี้นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงหน้าตารัฐบาลชุดใหม่ว่า ขอให้พรรคประชาชนติดตามรัฐบาลให้ดำเนินการตามที่ประชาชนต้องการ เพราะเห็นมีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์หน้าตารัฐบาลชุดใหม่ว่า ยี้ เต้าหู้ยี้ เป็น ครม.สมน้ำหน้าและสมนาคุณ ที่มีพรรค ปชน.เป็นต้นกำเนิดของ ครม.ชุดนี้ ขอให้ตรวจสอบจริงจัง ไม่ใช่เล่นลิเกหลอกคนอื่นไปวันๆสส.พท.ให้กำลังใจ “แพทองธาร”ช่วงเย็นมีการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นประธานการประชุม โดยมีตัวแทน สส.แต่ละภาค อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ เป็นตัวแทนให้กำลังใจ น.ส.แพทองธาร หลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องเข้าเรือนจำตามคำสั่งศาลฎีกาฯ ขณะที่ น.ส.แพทองธารกล่าวขอบคุณกำลังใจจาก สส.ทุกคน พร้อมบอกว่าก่อนเข้าเรือนจำ นายทักษิณมีกำลังใจดี พอจะคาดเดาผลได้อยู่แล้ว พร้อมรับผลการตัดสินของกระบวน การยุติธรรม เพื่อให้ข้อครหาหมดไป ให้พรรคเดินหน้าต่อไป นายทักษิณให้กำลังใจตน บอกให้กลับมานำทัพทำให้พรรคเพื่อไทยเข้มแข็งไม่ปิดกั้น สส.ปันใจเตรียมย้ายค่ายต่อมานายดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า น.ส.แพทองธารมาเตรียมความพร้อมนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือน มีการนำคำสั่งเก่าๆทั้งการตั้งกรรมการสรรหาผู้สมัคร กรรมการยุทธศาสตร์การหาเสียง นโยบายหาเสียงมาดู นำตารางวันที่มาพิจารณาจะเข้าสู่การเลือกตั้งเมื่อใด วันนี้จึงเป็นการประกาศเดินหน้าสู่การเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของพรรคเพื่อไทย อย่างช้าสุดกลางเดือน ต.ค.จะได้ผู้สมัครครบ 400 เขต ส่วนกรณี สส.งูเห่าจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินัยและจริยธรรมพรรคพิจารณา เพราะมีความผิดชัดเจน มีมาตรการลงโทษผู้ฝ่าฝืนแน่นอน เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่า สส.เขตยังอยู่กับพรรคเพื่อไทยต่อไป นายดนุพรตอบว่า สส.เขตกว่า 110 คน พรรคไม่สามารถบังคับให้ใครลงในนามพรรคได้ หากยุบสภาฯก็ต้องเลือกตั้งใหม่ใน 45-60 วัน หากใครจะลงสมัครต่อ หรือเปลี่ยนใจไปพรรคอื่น พรรคไม่ได้ปิดกั้น“ทวี” เชื่อ ขรก.ดีเอสไอไม่ถูกเช็กบิลพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ให้กำลังใจอยากให้มี ครม.เร็วๆ เมื่อถามว่าเป็นห่วงคดีเขากระโดงและฮั้ว สว. ที่อยู่ในดีเอสไอจะสะดุดหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีตอบว่า ไม่ห่วง เชื่อนายกฯคนใหม่คงตั้งรัฐมนตรีมาดู ที่สำคัญฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรมอาจเป็นกระทรวงที่มีอำนาจน้อยที่สุด เนื่องจากทุกหน่วยงานถูกกำกับโดยกฎหมาย รัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนต้องมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมต้องมีหลักประกันไม่ถูกแทรกแซง หรือครอบงำ คนเป็นรัฐมนตรีทำได้เพียงบริหารงานตามหลักนิติธรรม ไม่ใช้กฎหมายอยู่เหนือความยุติธรรม เมื่อถามว่าห่วงเรื่องการมาแก้แค้นหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีตอบว่า ไม่มีหรอก เป็นรัฐบาลที่มาอยู่ 4 เดือน สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจตรวจสอบ เมื่อถามย้ำว่าเป็นห่วงข้าราชการดีเอสไอที่ทำคดีฮั้ว สว. และคดีเขากระโดง อาจถูกโยกย้ายหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีตอบว่า เราให้กำลังใจเขา แต่คงไม่ไปแสดงความเห็นอะไร เพราะมีฝ่ายค้านเสียงข้างมากทำหน้าที่อยู่ปธ.วิปฝ่ายค้านยังไม่แบ่งงาน พท.ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุลประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการทำงานร่วมกันกับพรรคเพื่อไทย ว่า พูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการบ้างแล้ว วันนี้เชิญตัวแทนพรรคเพื่อไทยมาร่วมประชุมวิปฝ่ายค้านด้วย ยังไม่ได้ตั้งตัวแทนวิปฝ่ายค้านจากพรรค เพื่อไทยอย่างเป็นทางการ ต้องรอพูดคุยกันก่อนเวลา 4 เดือนที่เหลือ ครม.มีเวลาไม่มาก คงไม่ยื่นร่างกฎหมายเข้ามา ดังนั้น 4 เดือน ที่เหลือจึงชวนเพื่อไทย ว่า อยากผลักดันร่างใหม่ให้จบภายใน 4 เดือนนี้อยาก ให้ร่วมพูดคุยกันให้ชัดเจน ยังมีหลายนโยบายที่พรรค เพื่อไทยและพรรคประชาชนเห็นตรงกัน ขณะนี้ฝ่ายค้านคุมเสียงข้างมากในสภา ดังนั้นร่างกฎหมายใดที่พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยเห็นตรงกัน รัฐบาล ก็ไม่สามารถคัดค้านได้ เพราะเสียงข้างมากในสภาจะเห็นชอบกับกฎหมายนั้น ถึงเชิญชวนให้ผลักดันสำเร็จเปิดขุมทรัพย์ “อนุทิน” เฉียด 4 พัน ล.อีกเรื่อง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชี ทรัพย์สินและหนี้สินของ 8 อดีตรัฐมนตรี กรณีพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. มีที่น่าสนใจ อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กรณีพ้นตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย มีทรัพย์สิน 3,980,144,486 บาท เป็นทรัพย์สินของนายอนุทิน 3,924,082,912 บาท ทรัพย์สินนางธนนนท์ นิรามัย คู่สมรส 56,061,573 บาท โดยนายอนุทินมีเงินฝากในบัญชีธนาคาร 33 บัญชี รวม 1,087,047,330 บาท เงินลงทุน 655,240,224 บาท ที่ดิน 15 แปลง รถยนต์ 4 คัน เรือยนต์ 2 ลำ เครื่องบิน 3 ลำ รวมมูลค่า 742,415,879 บาท โดยเฉพาะ เครื่องบิน Embraer Legacy 600 มูลค่า 534,734,700 บาท สิทธิและสัมปทาน 960,934,807 บาท และทรัพย์สินอื่นกว่า 207 ล้านบาท อาทิ นาฬิกา 22 เรือน พระ 24 องค์ เครื่องเบญจรงค์ 11 ตู้ รูปภาพติดข้างฝา 16 ภาพ ขณะที่นางธนนนท์มีทรัพย์สิน ประกอบด้วย เงินฝากในบัญชีธนาคาร ที่ดิน 2 แปลง และทรัพย์สินอื่น อาทิ นาฬิกา 7 เรือน กระเป๋า 21 ใบ แหวน 4 วง ชุดเครื่องประดับอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่