มติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 5 ต่อ 2 ให้ลด อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเหลือ 2.25%แน่นอนว่ารัฐบาลและภาคเอกชนพอใจแน่เพราะตั้งแต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันได้เรียกร้องและกดดันแบงก์ชาติให้ลดแต่ก็ไม่มีเสียงขานรับแบงก์ชาติอ้างว่าเหมาะสมกับสถานการณ์แล้วมาถึงรัฐบาลปัจจุบันคนที่ออกตัวแรงสุดคือ รัฐมนตรีพาณิชย์ที่โจมตีแบงก์ชาติมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วพอได้เป็นรัฐมนตรีเองยิ่งสุมไฟหนักเข้าไปอีก ถึงขนาดถามว่าผู้ว่าการแบงก์ชาติจบที่ไหนมา คล้ายจะบอกหรือด้อยค่าสถาบันการศึกษาแต่ผู้ว่าการแบงก์ชาติก็เงียบไม่ตอบโต้แต่อย่างใด!จนกระทั่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศลดดอกเบี้ยทิ้งระยะห่างสักสองอาทิตย์ แบงก์ชาติไทยจึงประกาศลดดอกเบี้ยตามแน่นอนว่าไม่ว่าประเทศไหนในโลกล้วนให้แบงก์ชาติมีความเป็นอิสระในการตัดสินใจเพราะเรื่องการเงินนั้นมีความสำคัญต่อประเทศจึงไม่ต้องการให้นักการเมืองเข้าไปล้วงลูกหรือยุ่งเกี่ยวนอกจากการประสานงานและรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันเพื่อทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติการลดดอกเบี้ยครั้งนี้แบงก์ชาติคงพิจารณาแล้วว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่แรงกดดันจากรัฐบาลแต่อย่างใดเพราะแบงก์ชาติมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะดูแลไม่ให้เกิดความผันผวนทางด้านการเงิน ไม่ใช่เป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยจะต้องเท่านั้นเท่านี้แต่ทุกอย่างตั้งอยู่บนเหตุและผล...การลดดอกเบี้ยย่อมทำให้เกิดแรงกระตุ้นเศรษฐกิจพอสมควรเพราะตลาดหุ้นก็จะพุ่งขึ้นเพื่อเป็นการขานรับ แบงก์พาณิชย์แม้จะต้องเสียยอดเงินฝากแต่ก็จะได้กำไรจากการขอกู้เงินมากขึ้นอสังหาริมทรัพย์ก็จะดีขึ้น ผ่อนรถผ่อนบ้านก็จะดีขึ้นเพราะสามารถกู้เงินจากแบงก์ได้มากขึ้น ทุกอย่างน่าจะทำให้เศรษฐกิจที่ซบเซาฟื้นขึ้นอย่างชัดเจนแม้จะไม่มากนักก็ตามที่ได้เต็มๆก็คือรัฐบาลเพราะจะเกิดแรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนหากรัฐบาลออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้สอดรับก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมก่อนที่จะพ้นปี 2567ทั้งรัฐบาลและแบงก์ชาติต่างก็มีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจของประเทศไม่ต่างกันแต่ก็ต้องเคารพซึ่งกันและกันเวลานี้แบงก์ชาติกำลังจะต้องตั้งประธานบอร์ดคนใหม่แทนคนเก่าซึ่งคณะกรรมการกำลังสรรหาพิจารณาอยู่ปรากฏว่าแคนดิเดตคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในรัฐบาลทำให้เกิดกระแสคัดค้านไม่เห็นด้วยจนคณะกรรมการไม่กล้าตัดสินใจ อีกทั้งเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมาความจริงแล้วระเบียบหรือกฎกติกาที่มีอยู่แล้วประธานบอร์ดก็เข้าไปก้าวก่ายได้ยาก แต่ก็เกิดความกังวลว่าอาจจะใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงอีกทั้งระเบียบปฏิบัติที่ผ่านมาไม่มีทางที่การเมืองจะเข้าไปดำรงตำแหน่งนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและป้องกันไว้ดีกว่าจะเกิดปัญหาภายหลังยิ่งปัจจุบันมาตรฐานด้านจริยธรรมกำลังเบ่งบานนักการเมืองจึงแหยงไปมากไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนเพราะมีผลต่อตำแหน่งที่ดำรงอยู่เชื่อว่าไม่กล้าเอาคนของตัวเองไปยืนตรงนั้นแน่เพราะขนาดต่างคนต่างทำหน้าที่นักการเมืองก็พยายามแสดงตนว่าใหญ่กว่าพูดจาข่มขู่หยามไม่เคารพความเห็นซึ่งกันและกันทำให้ภาพออกมาไม่ดีในสายตาของประชาชน!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม