ภาวะเลือดออกในสมองโดยทั่วไปอาจพบได้บ้างประปราย แต่ที่พบไม่บ่อยนัก เห็นจะเป็น ภาวะเลือดออกในก้านสมอง ซึ่งถือเป็นภาวะเลือดออกในสมองที่อันตรายที่สุดในบรรดาเลือดออกในสมองทั้งหมด เหตุผลเพราะ ก้านสมอง หรือ Brain Stem เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของสมอง ที่คอยคุมการทำงานในระบบที่สำคัญๆของร่างกาย เช่น การกลืน การหายใจ ดังนั้น หากมีอะไรก็ตามที่ไปรบกวนการทำงานของก้านสมอง หรือมีเลือดออก และคั่งอยู่ที่ก้านสมอง ถือเป็นจุดอันตรายที่รุนแรงมากที่สุด โอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมีสูงมากถึง 70-80% ของภาวะเลือดออกในสมองทั้งหมด อาการของภาวะเลือดออกในก้านสมอง ส่วนใหญ่คนไข้จะมาพบแพทย์ด้วยอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนแบบรุนแรงมาก โดยเฉพาะอาการเวียนศีรษะรุนแรงติดต่อกัน จนไม่สามารถยืนหรือนั่ง หรือทรงตัวได้เป็นเวลา 10-15 นาที โดยคนที่มีความเสี่ยงสูง คือคนที่มีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือเคยตรวจพบความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณคอ หรือหลอดเลือดในสมองมาก่อนส่วนใหญ่แล้ว คนที่มีภาวะเลือดออกที่ก้านสมอง แพทย์จะสามารถวินิจฉัยได้ไม่ยาก ผู้ป่วยมักมีดวงตาที่กรอกไปทางขวาบ้างซ้ายบ้าง และกระตุก ซึ่งไม่ใช่ลักษณะอาการที่พบในคนที่เวียนหัวทั่วไป และส่วนใหญ่มักพบว่ามีความดันโลหิตผิดปกติ และหัวใจเต้นผิดปกติ การกระตุกของตา และอาการเวียนศีรษะที่เกิดจากภาวะเลือดออกที่ก้านสมองจะรุนแรงกว่าภาวะน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือเวียนศีรษะแบบทั่วไปหลายเท่า ส่วนใหญ่แพทย์มักแนะนำให้รับการตรวจด้วยเครื่อง MRI และส่วนใหญ่จะพบว่ามีเลือดออกบริเวณก้านสมอง ซึ่งอยู่ใกล้กับศูนย์ควบคุมการทรงตัวและศูนย์ควบคุมการหายใจ ในคนไข้ทั่วไปที่มีเลือดออกในก้านสมอง ถ้าเลือดออกไม่เยอะ แพทย์จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำการผ่าตัดคนไข้ เนื่องจากการผ่าตัดบริเวณนี้ เป็นตำแหน่งที่อันตรายมาก แต่ในกรณีของผู้ป่วยที่มีเลือดออกเป็นวงกว้างหรือมีขนาดของภาวะเลือดออกที่ใหญ่มาก การรักษาอาจจำเป็นต้องผ่าตัด ซึ่งแน่นอน เป็นการผ่าตัดที่ยากและต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่อยู่ลึก และมีความเสี่ยงหลังผ่าตัดค่อนข้างมาก ในบางรายแม้จะผ่าตัดเอาเลือดออกได้ แต่อาการโดยรวมอาจไม่ดี หรือแย่ลงแพทย์จะเลือกพิจารณาทำเฉพาะในรายที่จำเป็นเท่านั้น โดยใช้วิธีทางจุลศัลยกรรม คือการผ่าตัดโดยใช้กล้องไมโครสโคป (Microscope) มาช่วยผ่าตัด เพื่อลดการบอบช้ำจากการผ่าตัดและลดความเสี่ยงอันตราย หลังการผ่าตัด อาการของผู้ป่วยอาจจะแปรปรวนอยู่ในช่วงแรก เนื่องจากการผ่าตัดต้องเข้าไปจัดการในส่วนของก้านสมอง การเต้นของหัวใจและการหายใจจึงยังไม่ปกติ แต่ภายหลังผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์ จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แขนขาที่เคยอ่อนแรง หรือที่เคยเป็นอัมพฤกษ์จะค่อยๆดีขึ้น ภายหลังได้เข้าทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย ก็ทำให้ผู้ป่วยสามารถเดินได้จนเกือบเท่าปกติ ทำงานบ้านเบาๆได้ แต่กำลังอาจจะยังไม่เต็มร้อย ต้องอาศัยการบำบัดและการฟื้นฟูในระยะยาว สำหรับสาเหตุของเลือดออกในก้านสมอง มีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ ความดันโลหิตสูง ที่ไม่ได้รับการรักษา จนหลอดเลือดบริเวณนั้นไม่สามารถทนต่อความดันที่สูงได้ จนเกิดการแตกและมีเลือดออก, กลุ่มที่มีเนื้องอก หรือมีการติดเชื้อภายในสมอง จนทำให้เกิดการฉีกขาดของหลอดเลือด และมีภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพอง หรือหลอดเลือดขอดบริเวณก้านสมอง เมื่อเกิดความดัน เปลี่ยนแปลง เช่น สูงขึ้นทันที หรือความดันลดต่ำ แล้วก็ขึ้นสูงในระยะเวลาสั้นๆ เส้นเลือดที่โป่งหรือขอดอยู่นั้นก็อาจจะแตกขึ้นมาได้ การมีเลือดออกที่ก้านสมองจะแตกต่างจากภาวะก้านสมองตาย ที่ก้านสมองถูกทำลายจนหมดความสามารถในการทำงานอย่างสิ้นเชิง เมื่อวินิจฉัยภาวะสมองตายแล้ว จะถือว่าผู้ป่วยรายนั้นเป็นผู้เสียชีวิต เพราะผู้ป่วยจะไม่สามารถฟื้นกลับขึ้นมาได้อีกหลังจากสมองตาย แต่กรณีเลือดออกที่ก้านสมอง แม้จะอันตรายแต่โอกาสที่จะฟื้นกลับมาเป็นปกติก็ยังคงมีอยู่.