การเตรียมการเข้าสู่การประกาศให้ โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นหลังการระบาด หลังจากที่ ศบค.ชุดใหญ่หารือกันไปแล้วจะออกหัวออกก้อยในช่วงที่โควิดทำท่าจะกลับมาระบาดรอบใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว ทำให้ภาครัฐต้องมีการ ปรับเงื่อนไขของมาตรการต่างๆให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วยโดยเฉพาะทิศทางใน การดูแลรักษากรณีติดโควิด ที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ได้ประกาศยกเลิก บริการระบบรักษาที่บ้าน หรือ Home Isolation และเปลี่ยนไปเป็นแบบ เจอ แจก จบ แทน จากที่เคยให้รักษาตัวอยู่ที่บ้าน สปสช. จะส่งยาไปให้ถึงที่ ต่อไปนี้ต้องเดินทาง ไปรักษาที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง ปัญหาที่จะตามมาก็คือ จำนวนเตียงรักษา และยาที่จะรักษาคนป่วย ไม่ว่าจะเป็นระดับสีเหลืองหรือสีเขียวก็ตาม แม้จะอนุโลมว่าระดับสีเหลือง ถ้ามีอาการมากก็สามารถติดต่อไปที่ 1330 เพื่อให้เจ้าหน้าที่จัดส่งยาให้ แต่ในทางปฏิบัติไม่รู้จะทำได้แค่ไหนสิทธิการรักษายังเป็นไปตามที่กำหนดของแต่ละสิทธิที่ได้รับไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินเข้าโรงพยาบาลใกล้ที่สุดโดยไม่ต้องเสียค่ารักษา บัตรทอง ประกันสังคม ประชาชนทั่วไปใช้สิทธิเข้ารับการรักษาตามเงื่อนไขตามสิทธิโรงพยาบาลที่ระบุไว้ เช่นเดียวกับโรคอื่นๆส่วน มาตรการป้องกันและคัดกรอง มีการยกเลิกไปหลายอย่าง เช่น ไม่ต้องตรวจอุณหภูมิ ไม่ต้องแสดงผลเอทีเค ไม่ต้องสวมหน้ากาก ซึ่งถือว่าเสี่ยงมากในสถานการณ์ปัจจุบัน อันที่จริงการให้ตรวจอุณหภูมิหรือสวมหน้ากากไม่เสียหายอะไร แต่กลับเป็นประโยชน์กับประชาชนด้วยซ้ำสิ่งที่ควรยกเลิกมากกว่าคือ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะไม่ว่าการจัดกิจกรรม การแสดงออกต่างๆ ซึ่งหลายกิจกรรมไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองด้วยซ้ำ แต่ก็ทำไม่สะดวกต้องมีการขออนุญาตการใช้สถานที่ มีการกำหนดเวลาและเงื่อนไขมากมาย โดยไม่เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเลยเพราะฉะนั้น การตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นมา 2 ทีม มีนายกฯกับ รมว.คลังเป็นหัวหน้าทีม จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่สะท้อนถึงผลสำเร็จที่จะตามมาแต่อย่างใด ก็เหมือนตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือจึงมีมากกว่าที่จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของเศรษฐกิจถ้ายังระแวงว่า ความมั่นคงทางการเมืองเสถียรภาพของรัฐบาลจะมีปัญหา ก็ยิ่งจะทำให้มีผลกระทบกับ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ที่จะตามมา ในที่สุดแล้วจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงการทำงานที่ไม่ถนัดอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดหลายอย่างเช่น เรื่องค่าการกลั่น ที่มีการโจมตีว่าเป็นต้นเหตุทำให้น้ำมันแพง แฝงไว้ด้วยความจริงที่เปิดไม่หมด แค่ความแตกต่างเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ระหว่าง 30 บาทต่อดอลลาร์กับ 35 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เห็นความแตกต่างของราคาค่าการกลั่น ทั้งที่ไม่ได้มีความแตกต่างกัน เป็นความฉลาดของนักการเมืองที่ฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยม กระทบทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐบาลไปฉิบ.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.th