อิทธิพลพายุ ปีนี้ฝนตกมากกว่าทุกปี “เกิดน้ำท่วมหนัก” หลายพื้นที่ต้องเจอสภาพดินสไลด์ทรุดตัว ที่ร้ายกว่านั้น “บ้านเรือนไม่น้อย” โครงสร้างออกแบบไม่มาตรฐานทรุดทั้งหลังพังทลายหายไปในพริบตาแม้วิกฤติน้ำผ่านพ้นไปแล้วแต่ “ทิ้งร่องรอยแตกร้าวให้อาคารบ้านเรือนหลายหลัง” ไม่ว่าเป็นรอยเล็ก หรือรอยใหญ่ อันเป็นสัญญาณเตือนว่า “โครงสร้างเริ่มมีปัญหาผิดปกติ” ที่เสี่ยงบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ในภายหลัง สุดท้ายแล้วมัก “เกิดความเสียหาย และอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย” อย่างไม่คาดฝันตามมาก็ได้สาเหตุน้ำท่วมกระทบบ้านทรุดตัวนี้ ผศ.ดร.พงษ์พิพัฒน์ อานันทนสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมธรณีเทคนิค ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล เล่าว่า สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายหลายจังหวัด คงมีเฉพาะภาคกลางตอนบน ภาคอีสานที่มวลน้ำไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำบางแห่ง แล้วเห็นภาพเชิงโครงสร้าง “ดินทรุดหลายพื้นที่” จนทำให้อาคารบ้านเรือนเสี่ยงพังทลายอันมีปัจจัย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก...“สร้างบ้านถูกหลักวิศวกรรม” ที่มีการพิจารณาออกแบบคำนวณให้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ระดับน้ำใต้ดิน น้ำชั้นหน้าดิน และน้ำบนดิน เป็นองค์ประกอบหนึ่งให้รองรับภัยพิบัตินั้นด้วยมีโครงสร้างคานใต้ดิน หรือเสาเข็มเป็นฐานราก ดังนั้นแม้ “น้ำท่วมหนัก” โครงสร้างบ้านก็ยังคงมีความคงทนแข็งแรงสมบูรณ์ดังเดิม ยกเว้นความเสียหายเกี่ยวกับความสวยงามตัวบ้าน เช่น ผนังสีลอกล่อน โป่งพอง เกิดเชื้อรา ปูนผนังกะเทาะ อันเป็นปัญหาเล็กน้อยสามารถซ่อมแซมปรับปรุงได้ไม่ยากถัดมากลุ่มที่สอง...“สร้างบ้านผิดหลักวิศวกรรม” ด้วยถ่ายน้ำหนักตัวบ้านลงพื้นดินโดยตรง ที่ไม่มีฐานรากวางบนเสาเข็มเรียกว่า “ฐานรากแบบแผ่” โดยเฉพาะ “พื้นที่ภาคอีสาน” เพราะมักเชื่อว่า “ชั้นดินแข็ง หรือเป็นชั้นหิน” สามารถรับน้ำหนักตัวอาคารบ้านเรือนได้ “ไม่มีการตอก ขุด เจาะเสาเข็ม” ยิ่งกว่านั้น “บางแห่ง” สร้างแบบวางอยู่บนดินเฉยๆ น้ำหนักบ้านกดผิวดินทรุดลงเรื่อยๆ ฉะนั้นเมื่อ “เกิดน้ำท่วมนาน” ดินดูดซับน้ำปริมาณมากจนบวมขยายตัวอ่อนนุ่มยุบเคลื่อนตัวแล้วบ้านก็ต้องทรุดพังลง แต่ถ้ามีเสาเข็มก็จะสามารถช่วยให้เกิดแรงต้านน้ำหนักของบ้านในการชะลอการทรุดตัวดีขึ้นปัญหาส่วนหนึ่งเพราะ “กฎหมายควบคุมอาคาร” เน้นบังคับเฉพาะ “อาคารขนาดใหญ่” ขณะที่ “บ้านขนาดเล็ก” มักสร้างกันตามอำเภอใจ ไม่มีหลักคำนวณออกแบบให้ถูกต้องตามหลักวิศวกรรมกำหนดส่วน “ภาคกลาง” ที่เป็นพื้นที่ดินเหนียว แหล่งน้ำเดิมมักเกิดการยุบตัวง่าย ในสมัยอดีตการสร้างบ้านเมืองบริเวณนี้ “ตอกเสาเข็มตามภูมิปัญญาสมัยนั้น” ทำให้โครงสร้างขนาดเสาเข็ม และความลึกไม่พอรับน้ำหนัก เมื่อเข้าฤดูฝนหลากก็มีปัญหาเคลื่อนตัวของดิน “บ้านเรือนชาวบ้านทรุดตัวเสียหาย” ทุกปีเช่นเดิม “น้ำท่วมมักเป็นตัวการเปลี่ยนแปลงแรงดันน้ำใต้ดินให้เกิดการเคลื่อนตัวของชั้นดินเสมอ ทำให้พื้นดินใต้ฐานรากอ่อนตัวทรุดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างอาคารบ้านเรือน สามารถสังเกตจากสภาพบริเวณรอบบ้านมีรอยแตกร้าว อันเป็นจุดเริ่มต้นบ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายนี้แล้ว” ผศ.ดร.พงษ์พิพัฒน์ว่าปัจจัยหลักมักเกิดจาก “การขยับบิดตัวเสาเข็ม” ทำให้มีรอยร้าวขนาดใหญ่บนผนัง ลักษณะบ้านทรุดไม่เท่ากันแล้ว “ผนังแยกตัวแนวทแยงมุม” ถ้ามีรอยร้าวขนาดร่องความกว้าง 1 มม. ที่มีการขยายตัวมากเรื่อยๆ... รอยร้าวแบบนี้เป็นสัญญาณบอกว่า “โครงสร้างมีปัญหา” ยิ่งมีลักษณะเอียงเห็นด้วยสายตาได้นับเป็น “ระดับอันตรายโอกาสทรุดตัวสูง” โดยเฉพาะอาคารสำนักงานใหญ่มีความเสี่ยงต่อชีวิตคน อย่าปล่อยไว้นานแต่ปัจจุบันนี้ “อาคารขนาดใหญ่” ออกแบบตามหลักวิศวกรรม ยกเว้น “บ้านขนาดเล็ก” เมื่อน้ำท่วมมักมีผลกระทบให้ “รอยร้าวผนังแยกตัวจนบ้านเอียง” จำเป็นอย่างยิ่งต้องปรึกษาวิศวกรก่อสร้างเข้ามาวิเคราะห์สาเหตุหาทางแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด วิธีซ่อมมีหลายแบบขึ้นอยู่กับลักษณะความรุนแรงของปัญหาที่พบ เช่น ดีดบ้านซ่อมแซมหรือเสริมฐานรากเสาเข็มให้มีกำลังรับน้ำหนักแข็งแรงสมบูรณ์ดีขึ้นก็ได้...ส่วน “บ้านสร้างแบบวางอยู่บนดินเฉยๆ” ไม่ต้องพูดถึง ถ้าเจอการเคลื่อนตัวชั้นดินมักมีโอกาสทรุดง่ายกว่าบ้านมีเสาเข็มอยู่แล้ว เบื้องต้น “ประชาชนผู้เดือดร้อน” สามารถติดต่อวิศวกรอาสา วิศวกรรมสถานฯเพื่อขอรับประเมินความเสี่ยงเลื่อนไถลหน้าดิน การทรุดตัวพังชำรุดของสิ่งปลูกสร้างได้ส่วน “ผนังกำแพงบ้านร้าว” ที่ไม่ใช่เกิดจาก “โครงสร้างทรุดตัว” ก็มีอยู่เช่นกัน สาเหตุเพราะ “ใช้ช่างไม่ชำนาญการฉาบ” ทำให้มีรอยร้าวแตกลายงาเส้นเล็กๆตามผนังปูนฉาบ ลักษณะนี้ไม่เป็นอันตรายแต่ทำให้บ้านดูเก่า ไม่น่าดู สร้างความหงุดหงิดใจให้คนอาศัยเท่านั้น สามารถซ่อมแซมกันไปทีละเล็กทีละน้อยได้ ตอกย้ำ “บ้านริมน้ำ” ที่รบกวนขวางทางไหลน้ำตามธรรมชาติ ต้นเหตุเกิดไถลตัวดิน “นำสิ่งปลูกสร้างทรุดลงแม่น้ำ” เพราะไม่ถูกออกแบบตามหลักวิศวกรรม ดังนั้น “อาคารบ้านเรือนริมน้ำ” มีความเสี่ยงสูงมากแม้มีเสาเข็มแล้วแต่บางครั้งก็ “แตกหักชำรุดแยกขาดออกจากกัน” เมื่อฝนตกหนักอาจทำให้ดินไถลทรุดตัวให้แบกรับน้ำหนักไม่ไหว “เสาเข็มดีดตัวออก” ส่งผลให้โครงสร้างบ้านยึดเกาะเข้ากับดินไม่ได้แล้วน้ำหนักทั้งหมดถูกถ่ายเทไปยังเสาเข็มอื่น แบกรับน้ำหนักมากเกินทรุดตัวลงตามมาอีกสิ่งกังวลสำคัญ “โรงเรียนใกล้ริมแม่น้ำ” อาคารชั้นเดียวที่ไม่ได้ออกแบบรองรับน้ำหนักหลายชั้น “เสาคานมีขนาดเล็กและโครงสร้างฐานรากไม่ค่อยแข็งแรง” จนง่ายต่อการเคลื่อนตัวของอาคารถ้า “อาคารเรียนชั้นเดียว หรือบ้านชั้นเดียวตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ” แล้วแช่น้ำท่วมนานกว่า 1-2 สัปดาห์ ที่มักทำให้ดูดซึมน้ำเข้าดินเยอะ หน้าดินก็จะอ่อนนุ่มอย่างมีนัยสำคัญ อาคารเรียนจะขยับตัวทรุดลงก็ได้“อาคารบ้านเรือนริมแม่น้ำ” ควรต้องได้รับการวิเคราะห์ความมั่นคงเสถียรภาพรากดิน โอกาสเกิดไถลระดับใดแล้วหาวิธีป้องกันให้ถูกจุด เช่น ตอกเสาเข็มเพิ่มเสถียรภาพรากดินป้องกันดินเคลื่อนตัวได้อิสระประเด็น “ข้อกังวลน้ำท่วมกระทบโบราณสถาน” ขออธิบายแบบนี้ “โบราณสถานในไทยลักษณะโครงสร้างเป็นแบบก่ออิฐถือปูน” สามารถรับแรงบิดจากการเคลื่อนตัวของดินได้ไม่มาก เพราะส่วนใหญ่มักเป็น “ฐานรากแผ่” ถ้าจุดใดมีเสาเข็มก็เป็นแบบไม้ตอกแผ่ แต่ไม่ใช่เสาเข็มเหมือนปัจจุบันนี้การที่ยังคงสภาพตั้งอยู่เป็นโบราณสถานมาจนถึงวันนี้เชื่อว่า “น่าจะเกิดเคลื่อนตัวมาจนเข้าสู่ความสมดุลใหม่” ปรับสภาพรับสิ่งแวดล้อมและระดับภัยพิบัติธรรมชาติมานานหลายยุคหลายสมัยได้แล้ว ยกเว้นในอนาคตถ้าต้องเจอ “น้ำท่วมรุนแรงกว่านี้” อาจมีอิทธิพลส่งผลกระทบเป็นอันตรายให้เกิดความเสียหายขึ้น ฉะนั้น “จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นแหล่งโบราณสถานสำคัญ” ตั้งอยู่ชั้นดินอ่อนแอ่งมีโอกาสรับความเสียหายได้แน่ เหตุนี้ “ภาครัฐ” ต้องจัดลำดับความล้ำค่าโบราณสถาน เพื่อพิจารณาทำนุบำรุงเป็นกรณีพิเศษตามความสำคัญด้วยหลักคำนวณทางวิศวกรรม ในคาดการณ์ภัยพิบัติอันจะส่งผลกระทบล่วงหน้าได้ 500 ปีแล้วนำข้อมูลวิเคราะห์สู่การป้องกันได้หลายวิธี เช่น ตอกเสาเข็มล้อมชะลอการขยับของดิน ลักษณะทำแนวป้องกันเผื่ออนาคตก็ได้ เสมือนซื้อความปลอดภัยให้โบราณสถานอันล้ำค่าคงอยู่คู่ประเทศไทยสุดท้าย “น้ำมาแล้วคงแก้ได้ยาก” แต่ถ้า “น้ำท่วม” อยากเน้นดูความปลอดภัยในเชิงโครงสร้างอาคารบ้านเรือน หมั่นตรวจเช็กความผิดปกติสม่ำเสมอ “อย่าชะล่าใจ” เพราะมักเป็นต้นเหตุให้บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ “เสี่ยงอันตรายต่อผู้อาศัย” หากเป็นไปได้...เห็นรอยร้าวขนาดใหญ่ควรงดใช้ไปก่อนดีที่สุดสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มดีขึ้นแล้วก็ “อย่าลืมสำรวจโครงสร้างอาคารบ้านเรือนตัวเอง” ไม่แน่ใจให้ติดต่อหน่วยงานกลางเช่น “วิศวกรรมสถานฯ สภาวิศวกร” ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ถ้าให้ดีกว่านั้นก่อนปลูกบ้านให้ปรึกษาวิศวกรออกแบบ จะไม่ทำให้ต้องเสียเงินมากกว่าเดิม.