ตอนที่ 4
นางเอิบคิดฉีกหน้าเดือนดาราด้วยการส่งนายสนไปรับพลอยกับผิวมาในฐานะญาติของนายอ่ำ เดือนดารายังไม่รู้ มัวคุยกับสำลีที่มาขออนุญาตไปเอาของสำคัญในวันที่หลวงปู่มั่นจะมาทำพิธีปัดรังควาน
เดือนดาราไม่ได้เอะใจเรื่องสำลีจะไม่อยู่ร่วมพิธี แต่สนใจสิ่งที่เขาอยากเตือนเธอมากกว่า
“นางพริ้งจงรักภักดีมากแต่มันก็ปากมากไม่อาจเก็บความควรไม่ควรพูด ยิ่งกว่านั้นมันสอดรู้สู่เห็นเป็นที่สุด นี่แหละอาจเป็นภัยกับมันเองและคุณผู้หญิง”
“ฉันรู้ดี...แต่มันคือคนที่ดีที่สุดของฉันและเป็นคนเดียวที่คือพวกของฉัน จะมีอีกคนก็นายเมฆคนขับรถ มันรู้ความจริงว่าฉันยังไม่ทันเป็นนางโลมแต่ไม่มีใครเชื่อมัน แล้วมันก็ไม่ใช่คนที่ฉันจะพึ่งพาได้”
“นับแต่นี้มีกระผมเพียงคนเดียวก็เท่ากับมีมากกว่าคนทั้งหมดในบ้านนี้ จะไม่มีใครมาทำให้คุณผู้หญิงระคายเคืองจิตใจได้เด็ดขาด กระผมขอเอาหัวเป็นประกันขอรับ”
“จริงหรือ ลุงสำลีเก่งขนาดนั้นเลยรึ”
“ขอให้รอดูไปเถิดขอรับ แต่มีบางอย่างที่คุณผู้หญิงสมควรฟังกระผมบ้าง”
สำลีสบตาเดือนดารานิ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “คุณผู้หญิงดวงแข็งมาก ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาน้ำมนต์มาปัดรังควาน”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“กระผมไม่อาจทำให้เชื่อตอนนี้ แต่วันพรุ่งนี้คุณผู้หญิงคอยดูเองเถิดขอรับว่าเป็นจริงอย่างที่กระผมบอกไหม”
“มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ขอบใจลุงสำลีที่หวังดีและมาบอกกล่าวเรื่องนี้กับฉัน”
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ เอาไว้ดูพรุ่งนี้เถอะขอรับ”
ท่าทางสงบเสงี่ยมแต่ดูลึกลับของสำลีทำให้เดือนดาราถูกชะตาและเชื่อใจอย่างบอกไม่ถูก อดเอ่ยถึงเรื่องอดีตที่เธอเจอเขาโดยบังเอิญที่งานวัดไม่ได้
“จำได้ไหม...ตอนลุงช่วยฉันตอนเด็กๆ ลุงสอนฉันว่ายังไง”
“ตาต่อตา ฟันต่อฟันขอรับ ใครรักรักบ้างใครชังชังตอบ”
“แต่หลวงปู่ท่านก็เคยพบฉันตอนเด็กๆ ท่านสอนฉันว่าอภัย เมตตา อย่าอาฆาตแค้น ตกลงฉันจะเชื่อใครดี”
“แล้วแต่คุณผู้หญิงจะพิจารณาเถิดขอรับ มันขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
“ขอบใจ ฉันไม่มีศัตรูที่ไหน พวกนั้นก็แค่บริวารที่แข็งข้อ มันก็แค่ก่อความรำคาญหงุดหงิด”
“ศัตรูใหญ่ของคุณผู้หญิงกำลังจะปรากฏตัวขอรับ”
“เอาอะไรมาพูด”
“ความจริงขอรับ แต่ศัตรูก็ดวงไม่เข้มแข็งเท่าคุณผู้หญิง ที่สุดมันจะพ่ายแพ้”
ooooooo
สถานการณ์บ้านแสงอึมครึมมากเพราะถูกมนตร์ดำครอบงำ บรรยากาศบ้านเสริมที่พระนครก็อึดอัดไม่แพ้กันเพราะคุณหญิงตรึงตรากดดันให้นางพร้อมเกลี้ยกล่อมเสริมให้เลิกวาดรูป
เสริมที่กำลังจินตนาการถึงพลอยหรือนางในฝันไม่พอใจคำขอของแม่ ถอนใจหนักหน่วง
“นี่มันเป็นสิ่งที่คุณเสริมรักมากที่สุด ทำไมคุณแม่ถึงต้องบังคับให้ป้าพร้อมมาบอกให้คุณเสริมเลิกทำด้วย”
นางพร้อมเห็นใจเสริมไม่น้อย พยายามช่วยไกล่เกลี่ย “คุณแม่ท่านหวังดีน่ะค่ะ”
“ไม่จริง คุณแม่ท่านต้องการจะเอาใจน้องกานดาวดีต่างหาก บังคับให้คุณเสริมหมั้นกับเขาเพื่อหน้าตาของท่าน คุณเสริมก็ยอมแล้ว นี่จะมาบังคับให้ต้องเลิกทำงานที่รักอีก”
“แล้วจะให้ป้าไปกราบเรียนคุณแม่ท่านอย่างไรเล่าคะ”
“ก็บอกไปว่าพอป้าพร้อมอ้าปาก คุณเสริมก็หนีไปเลย”
เสริมผลุนผลันออกจากบ้านที่พระนครไปหาแสง ขอร้องให้ช่วยตามหานางในฝัน
“พี่แสงเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ไหมครับ”
ภาพวาดของพลอยฝีมือน้องชายทำให้แสงใจกระตุก สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา ย้อนถาม
“ไม่เคย...รู้จักกันรึ”
“ผมพยายามจะรู้จักเธอแต่เธอไม่ยอมให้รู้จัก ผมนึกได้ว่าเธออยู่แถวๆนี้ พี่แสงอาจจะเคยเห็นหน้าค่าตา”
“ผู้คนเยอะแยะ พี่จำได้ไม่หมดดอก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะพยายามต่อไป ดีเหมือนกัน...สิ่งใดได้มายาก สิ่งนั้นย่อมมีค่าควรแก่การรักษาไว้เท่าชีวิต”
แสงหน้าเครียด ต้องเก็บกดอารมณ์อย่างมากที่รู้ว่าน้องชายชอบผู้หญิงคนเดียวกับตน
เสริมไม่รู้เรื่องแสงติดตาต้องใจพลอย ออกจากที่ทำงานพี่ชายอย่างอารมณ์ดีมากขึ้น พลันก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจสุดขีดเมื่อเห็นพลอยขายขนมแถวหน้าศาลากลาง
หลังจากอุดหนุนขนมและต่อปากต่อคำกับพลอยจนหายคิดถึง เสริมก็พรวดพราดกลับไปห้องทำงานพี่ชายอีกรอบ แสงที่ขุ่นใจเพราะแอบเห็นน้องชายไปตอแยพลอยกระชากเสียงถามโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมไม่เคาะประตูก่อน”
“ขอโทษครับ คือ...ผมจะมาบอกพี่แสงว่า ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะขอค้างบ้านพี่แสงสักระยะหนึ่ง”
“เพราะเหตุใดถึงได้เปลี่ยนใจ”
“เพราะผมรู้แล้วว่านางในฝันผมอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่ไหนล่ะ”
“ขายขนมบัวลอยกับขนมแชงม้าตรงด้านหน้านั่นไงครับ พี่แสงอาจจะเคยกินขนมเธอแล้วด้วย”
แสงพยักหน้าเนือยๆ เสริมไม่ทันสังเกตอาการพี่ชาย มัวนั่งเคลิ้มเมื่อคิดถึงรอยยิ้มของพลอย พลันก็คิดได้
“เอ๊ะ...ทำไมตอนที่ผมถามพี่แสงถึงปฏิเสธว่าไม่เคยเห็นเธอ ทั้งๆที่เธอก็ขายขนมอยู่ที่ศาลากลางนี่”
คำถามของเสริมทำให้แสงชะงัก เสพูดติดตลก “แกคงวาดไม่เหมือนกระมัง”
“นั่นสิครับ ฝีมือผมคงไม่ถึงขั้น”
ooooooo
เสริมกลับบ้านที่พระนครเพื่อเก็บของมาอยู่กับแสงและหวังพิชิตใจพลอย แต่เมื่อคุณหญิงตรึงตรารู้เรื่องก็ยื่นคำขาดไม่ให้ลูกชายคนเล็กไปเหยียบบ้านแสง รวมถึงประกาศกร้าวไม่ยอมรับสะใภ้บ้านนอก










