ตอนที่ 14
“ฉันเคยเตือนแล้วให้หยุดโลภ หยุดทำบาป” ผีเจ้าพระยามหศักดิ์ใช้พลังปลดโซ่ตรวนที่ขาตัวเองไปสวมขาชาลีแทนที่ “เมื่อเจ้าไม่เชื่อฉันก็จะได้พ้นเวรพ้นกรรมช่วงนี้สักที ต่อไปก็เหลือแค่ชดใช้กรรมในภพหน้า”
ชาลีกลัวมากพยายามดึงโซ่ตรวนที่ขาออกแต่ไม่สำเร็จ ขอร้องให้ผีเจ้าพระยามหศักดิ์ปล่อยตนเองไป อย่าขังไว้ที่นี่ อยากได้เงินก็เอาไปเลยตนยกให้หมดต่อไปตนจะทำบุญจะช่วยคนจน
“บาปก็ส่วนบาป บุญก็ส่วนบุญหักลบกันไม่ได้ จำไว้กรรมของใครย่อมเป็นของคนนั้น” พูดจบผีเจ้าพระยามหศักดิ์หายวับไป ชาลีขวัญผวาสุดๆว่าจะถูกขังไว้ที่นี่ โรคหัวใจกำเริบแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกทรุดฮวบ
ผีเจ้าฟ้าทิพฉายตกใจเมื่อรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “คุณตา...คุณตาถูกขังแทนเจ้าพระยามหศักดิ์”
ooooooo
อรณีตัดสินใจจะย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ รอจนแม่กลับถึงบ้านจัดแจงเข้าไปเพื่อแจ้งข่าวนี้ แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก วิวรรณวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานทรงศิริตัดหน้า
“ท่านค่ะ ท่านล้มที่บ้านหนองพราย”
“ท่านล้ม...ล้มได้อย่างไร แล้วทำไมไปล้มที่บ้านหนองพราย” ทรงศิริเสียงเครียด...
ทางฝ่ายผีเจ้าฟ้าทิพฉายเป็นห่วงชาลีลุกขึ้นจะไปหา แต่นึกขึ้นได้ขืนกลับไปคงถูกขังไว้ในเรือนไทยอีก ก็เลยล้มเลิกความตั้งใจ ทรุดลงนั่งอย่างเดิม พลันนึกถึงตอนที่รวิปรียาใช้ฝ่ามือฟาดจนตัวเองกระเด็นชนเก้าอี้ นั่นแสดงว่าเธอได้พลังของเทพกลับมาแล้ว ผีร้ายไม่ยอมแพ้ง่ายๆหันมองผืนน้ำเรียกอสุรกายขึ้นมารับใช้ เงียบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น เธอเรียกวิญญาณเร่ร่อน สัมภเวสีให้ออกมาหา เงียบเหมือนเดิม
“ต่อให้ข้ามีแค่สองมือเปล่า ข้าก็ไม่กลัวเจ้ารวิปรียา ถ้าภาธรไม่อยู่กับข้า เขาก็จะไม่ได้อยู่กับผู้หญิงคนไหนเหมือนกัน” ผีเจ้าฟ้าทิพฉายประกาศกร้าว...
ในเวลาไล่เลี่ยกัน สินีวาลีเห็นรวิปรียาไม่กลับยามา จึงลงมาตาม พร้อมกับต่อว่าว่าเมื่อไหร่จะตัดใจจากภาธรได้สักที ตอนนี้พลังของเธอกลับมาแล้วแสดงว่าความเป็นมนุษย์ของเธอกำลังจะสิ้นสุด เตรียมใจกลับสวรรค์ได้แล้ว รวิปรียายังกลับไม่ได้เพราะเจ้าฟ้าทิพฉายยังอยู่ในภพภูมิมนุษย์ สินีวาลีขอร้องอย่าเอาเรื่องนี้มาอ้าง ที่เธอไม่อยากกลับเพราะอยากอยู่กับภาธรมากกว่า เธอยังไม่ทันโต้ตอบอะไร ภาธรมาขัดจังหวะเสียก่อน










