ตอนที่ 4
แต่มาเดี๋ยวนี้ นางกลับยิ้มแย้มกับบ่าว เรียกพี่ทุกคำ...พลันออกญาโหราธิบดีเข้ามาเรียก ทำให้เขาหยุดความคิดหันมาฟังผู้เป็นพ่อ ท่านบอกว่าจะต้องรีบเข้าเฝ้าขุนหลวง ท่านหมื่นรับคำเพราะตามธรรมเนียมลูกจะไม่ซักไซ้พ่อแม่ แต่ออกญากล่าวขึ้นมาเองว่า
“มีเรื่องกราบบังคมทูล มิรู้ว่าทรงทราบหรือยัง ต่อเมื่อพ่อกลับมาแล้วจึงจะเล่าสู่ออเจ้า”
ค่ำนั้นออกญาโหราธิบดีกลับมานั่งสนทนากับหมื่นสุนทรเทวา ว่าได้ยินข่าวมิสู้ดีว่า สำเภาเรือฝรั่งที่เข้าเทียบท่า นำข่าวลือมาว่า สำเภาเรือราชทูตที่ขุนหลวงส่งไปเมืองฝรั่งเศสอับปาง ราชทูต อุปทูต ตรีทูตไม่มีใครรอดชีวิต...ท่านหมื่นจำได้ว่า พ่อเคยกราบทูลขุนหลวง ควรรอจนเราชำนาญการพาสำเภาข้ามทะเลไปไกลสักสี่ปี ออกญาพยักหน้า
“เป็นจริงเช่นนั้น ถ้าอ้ายฝรั่งฟอลคอนไม่กราบทูลยุยงส่งเสริมให้รีบไปจนคนไปตาย น่าโมโหยิ่งนัก”
“ออกหลวงสุรสาครไม่ใช่คนสัญชาติฝรั่งเศสนี่ขอรับ ไม่น่ากระตือรือร้นให้อยุธยาส่งทูตไปฝรั่งเศสนักหนา”
“ใช่ มันไม่ใช่ฝรั่งเศส เพราะเขาว่าชื่อของมัน คอนสแตนติน ฟอลคอน ไม่ใช่ชื่อฝรั่งเศส แต่เป็นชื่อพวกกรีกอยู่ในดินแดนตะวันตกเหมือนฝรั่งเศส”
“เป็นเพราะเขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้ พวกฝรั่งเศสฉลาดรู้ว่าขุนหลวงโปรดปรานออกหลวงสุรสาครผู้นี้ จึงใช้เป็นหนทางพาเข้าไปเฝ้า”
“จะไม่คิดว่าขุนหลวงโปรดปรานได้อย่างไร ประทานยศถาบรรดาศักดิ์รวดเร็วเกินหน้าข้ารับใช้เบื้องพระยุคลที่เป็นชาวอยุธยากี่คนต่อกี่คน รับราชการไม่นานก็รั้งตำแหน่งออกหลวง” ด้านฟอลคอนผู้ถูก กล่าวถึง พึงพอใจในตัวมะลิลูกสาวฟานิกพ่อค้าผ้าที่เคยมีเรื่องกันมาก ถึงกับมาลวนลามถึงร้านผ้า ฟานิกพยายามขอร้องให้ปล่อยลูกสาวก็ถูกจิกด่าว่าต่ำต้อย มะลิต้องหาวิธีเอาตัวรอดด้วยการขอร้องขอเวลาคิดสักนิด ฟอลคอนหมายมั่นจะเอาเธอเป็นเมียให้ได้
ooooooo
เช้าวันใหม่ เกศสุรางค์วิ่งโหย่งๆลงไปที่ท่าน้ำ ไม่สนใจคำห้ามปรามของผินกับแย้มที่ไม่ให้วิ่ง เธอตั้งใจจะไปใส่บาตร แต่กลับถูกปริกไม่ให้ใส่ อ้างว่าคุณหญิงสั่งให้ตนรับผิดชอบ ผินกับแย้มไม่พอใจหลอกด่าเรียกอีปริกไปหลายคำ จนปริกรู้ตัวเกิดการยื้อยุดจนล้มระเนระนาด
เกศสุรางค์เสียงดังขึ้นบอกตนไม่ใส่บาตรก็ได้ ปริกยิ้มย่องสวนกลับว่า แม่หญิงไม่เคยนับถือพระพุทธเจ้าจะใส่บาตรทำไมให้บาปกรรม เธอตะลึงงันไม่รู้ว่าการะเกดทำอะไรไว้บ้าง คิดแก้ไข
“จริงของแม่ปริก แต่คนเราที่เป็นคนไม่ดี ไม่มีวันจะกลับตัวเลยหรือ”
“แม่หญิงจำได้ไหมเจ้าคะ ที่แม่หญิงทำกับข้านั้น ข้าก็ไม่มีวันเชื่อว่าแม่หญิงจะกลับตัวเลยเจ้าค่ะ” ปริกเสียงแข็งจ้องหน้าเขม็ง
เกศสุรางค์จึงถามว่าตนทำอะไร ปริกหาว่าไขสือ แต่ก็เล่าว่า วันนั้นการะเกดตามตบตีดึงทึ้งผมจนหลุดเป็นกระจุก ด้วยหาว่าปริกขโมยของ ไม่ฟังคำใคร ทั้งถีบทั้งตบสารพัด แต่พอหาของเจอก็ไม่เคยที่จะขอโทษสักคำ...เกศสุรางค์สะเทือนใจกับการกระทำของการะเกด
“แม่ปริก ข้าร้ายกาจกับเจ้าถึงเพียงนั้นเลยหรือนี่...ข้าขอโทษ”
ปริกชะงักเล็กน้อยที่ได้ยินคำขอโทษ แต่ไม่เชื่อว่าสันดานจะเปลี่ยนได้ เกศสุรางค์หน้าชาเมื่อโดนว่าถึงเพียงนี้...เดินกลับมากับผินและแย้ม เอ่ยถามว่าถ้ามีคนด่าว่าสันดานจะโกรธไหม
“ถ้าเป็นสันดานจริงก็หาโกรธไม่เจ้าค่ะ...ก็มันเป็นสันดานไปแล้วนี่เจ้าคะ”
เกศสุรางค์จึงรู้ว่าสันดานไม่ใช่คำหยาบเหมือนปัจจุบัน จึงปลอบใจตัวเองว่า สันดานเหมือนสันดอน เดี๋ยวจะขุดออกให้หมด ว่าแล้วก็เดินปราดเปรียวจะขึ้นเรือน เจอจ้อยถือหีบเล็กๆใบหนึ่ง และอีกมือถือพานมีผ้าพิมพ์ลายเทพนม จึงถามว่าหีบอะไร จ้อยตอบว่าหีบเครื่องยศ หญิงสาวดึงมาเปิดดู เห็นเป็นพลูจีบเป็นคำๆ วางเรียงกัน แล้วมองผ้าที่พานอย่างแปลกใจ
“นี่ผ้าพระราชทานสำหรับเข้าเฝ้าใช่ไหม ทำไมเป็นผ้าทอ ไม่ใช่ผ้าสมปักเหรอ”
“ท่านหมื่นเพิ่งมียศหมื่น ยังมิได้ใช้ผ้าสมปักขอรับ”
“อ๋อ...เอาไปเปลี่ยนที่ไหนเหรอจ้อย”
“ที่ศาลาเปลื้องเครื่องในวังขอรับ”
“อ๋อ...เออใช่แล้ว จำได้แล้ว อาจารย์เคยบอกว่ามีศาลาให้ขุนนางเปลี่ยนผ้า...”
เสียงหมื่นสุนทรเทวาดังขัดว่าอาจารย์อะไร










