น่าจะเป็นรอบที่ร้อยแล้วที่ นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล พูดถึงไทม์ไลน์การยุบสภาชัดเสียยิ่งกว่าชัด โดยเฉพาะเงื่อนไขการยุบสภา แบะท่าทุกมิติ “ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรอยุบสภา (ตาม MOA 120 วัน) ถึงวันที่ 31 ม.ค.2569 ถ้ามีเหตุที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมเพราะผมเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จะมาบอกว่าให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าลงคะแนนเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น” แต่ยินดีที่จะชี้แจงถ้ายื่นอภิปรายโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 แปลไทยเป็นไทยว่า รัฐบาลอนุทิน จะยุบสภาทันทีที่ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจทั่วไป รมต.ทั้งคณะหรือรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ที่จะต้องมีการยกมือลงมติไม่ไว้วางใจในสภา นายกฯอนุทิน ก็จะยุบสภา ถ้าอภิปรายโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 ก็จะไม่ยุบสภา แถมยังตอบรับด้วยว่า เตรียมร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาไว้แล้ว ซึ่ง การยุบสภา ไม่ว่าจะเร็วขึ้น 1 เดือนหรือช้าไป 1 เดือน ไม่มีผลต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หรือไม่มีผลกับ ฝ่ายบริหาร แต่จะมีผลกับ ฝ่ายนิติบัญญัติ โดยเฉพาะ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ พรรคประชาชน มีความอยากได้อยู่ในตอนนี้ จึงประเมินได้ว่าการออกมายืนยันนั่งยันเอาเรื่องการยุบสภาของนายกฯอนุทิน มาต่อรองจะมีผล เฉพาะพรรคประชาชน เท่านั้น ส่วนพรรคการเมืองอื่นไม่มีผลได้ผลเสียแต่อย่างใด จะเป็นผลดีกับ พรรคภูมิใจไทย หรือ พรรคเพื่อไทย ด้วยซ้ำ ที่ไม่ต้องไปเสี่ยงเอาขาเข้าตะรางกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เมื่อยตุ้มที่โดนหางเลขไปด้วยระหว่างประธานสภา วันมูหะมัดนอร์ มะทา กับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ผู้อาวุโสทั้งสองท่านออกมาเถียงกันว่า ถ้า ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะยุบสภา ได้ตอนไหนระหว่าง แค่ยื่นกับประธานสภา ก็มีผลหรือต้องให้ ประธานสภาบรรจุเป็นวาระเข้าสภา ถึงจะมีผล ประธานวันนอร์ ระบุว่ามีผลทันทีที่ยื่น รองนายกฯบวรศักดิ์ อ้างว่าจะมีผลต่อเมื่อบรรจุเข้าวาระการประชุมแล้วเท่านั้น ให้เดาต่อล่วงหน้า ถึงเวลาจริงๆคงมีคนฝ่ายรัฐบาลไปยื่นให้ ศาลรัฐธรรมนูญตีความ สุดท้ายก็ไม่ได้อภิปรายจนถึงกำหนดเวลา 120 วันที่จะต้องยุบสภาพอดี ตามคำแนะนำของนักกฎหมายมืออาชีพ เพราะฉะนั้นแนะนำว่าถ้า พรรคเพื่อไทย อยากเอาคืนทำให้การเมืองป่วนเข้าไว้ก็ต้อง รีบไปยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยมีการลงมติคาสภาไว้ก่อน ทั้ง พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน ก็จะเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเองส่วนที่ พรรคภูมิใจไทย รีบเปิด แคนดิเดตนายกฯ ครบ 3 ชื่อ อนุทิน–เอกนิติ–ศุภจี ก็ได้แค่เปิดก่อน ซึ่งไม่ต่างจาก พรรค เพื่อไทย ที่เคยมีชื่อ ชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯเอาไว้ ใช้ขัดตราทัพยามฉุกเฉิน สุดท้ายก็ไม่ทันได้ใช้งานจริง ซึ่งถ้า ภูมิใจไทย ต้องการจะส่งเสริมนายกฯคนใหม่ๆจริง ก็ต้องเรียงลำดับ ใหม่ เอกนิติ–ศุภจี–อนุทิน และต้องยึดถือตามลำดับอย่างเคร่งครัดห้ามไปเอาลำดับที่สามมาเป็นลำดับแรก ไม่เชื่อไปถามครูใหญ่ดูการเมืองการละครไทยคนดูเริ่มจะเบื่อเดาเรื่องได้ ไปดูซีรีส์เกาหลี ซีรีส์จีน ได้อรรถรสกว่าเยอะ.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม