“ทักษิณ” เฮศาลอาญายกฟ้อง รอดคดีหมิ่นเบื้องสูง ชี้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟังว่าจำเลยกระทำผิด คำสัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ไม่ได้เจาะจงถึงพระมหากษัตริย์ แถมพยานโจทก์ล้วนเข้าร่วมชุมนุมขับไล่ส่อมีอคติ “วิญญัติ” แจงเผยอดีตนายกฯดีใจ ลั่นจากนี้จะได้ ทำงานเพื่อประเทศชาติเต็มที่ จ่อยื่นร้องเพิกถอนคำสั่งห้ามบินไปต่างประเทศ การันตี “ทักษิณ” ไปศาลฟังคำสั่งคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไม่มีหลบหนี โฆษกอัยการฯรอ อสส.เคาะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ “ภูมิธรรม” ชี้ไม่เกี่ยวสัญญาณการเมือง ปัญหาคดีความว่าไปตามกระบวนการกฎหมาย “วันนอร์” ป้อง“ไชยา” มือใหม่เข้าใจผิด ปัดไม่ใช่เกมการเมือง ชิงปิดสภาฯสกัดญัตติด่วนยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44 ภท.ลุยต่อสัปดาห์ หน้าชงรัฐสภาถกเรื่องสำคัญโยงความมั่นคงของชาติศาลอาญาพิพากษายกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 กรณีเมื่อปี 2558 นายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีประเทศเกาหลีใต้ พาดพิงสถาบันกษัตริย์ เพราะพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด คำพูดจำเลย ไม่ได้เจาะจงถึงพระมหากษัตริย์ อีกทั้งพยานโจทก์เคยร่วมม็อบขับไล่อาจมีอคติศาลชี้ขาดคดี “ทักษิณ” หมิ่นเบื้องสูงเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 ส.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบันหมายเลขดำ อ.1860/2567 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 กรณีเมื่อปี 2558 นายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีประเทศเกาหลีใต้ พาดพิงสถาบันกษัตริย์ โดยนายทักษิณจำเลยให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัว ทั้งนี้ ตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศาลนำแผงเหล็กมากั้นเป็นรั้วบริเวณทางขึ้นด้านหน้าอาคารศาลอาญา กำหนดพื้นที่เข้า-ออก และมีตำรวจศาล ตำรวจ สน.พหลโยธิน เข้าดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างเข้มงวด พร้อมกำหนดจุดเฉพาะให้สื่อมวลชนที่ได้ขออนุญาต ติดบัตรสื่อชั่วคราวของศาลอาญาได้ทำข่าวและถ่ายภาพ รวมทั้งไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังในห้องพิจารณาคดีทนายมั่นใจสู้คดีอาญามาถูกทางนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวก่อนฟังคำพิพากษาว่า นายทักษิณจะเข้ารับฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง ความมั่นใจด้านผลคดีขออนุญาตยังไม่ตอบ ขอให้รอคำวินิจฉัยศาลก่อน หลังจากรับทำคดีนี้และเห็นพยานหลักฐานตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน มีความชัดเจน และในการสืบพยานโจทก์ 3 นัดยิ่งชัดเจนว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะการต่อสู้คดีอาญาต้องดูพยานหลักฐานของโจทก์และผู้กล่าวหาเป็นหลัก รวมถึงดูเจตนาของจำเลยด้วย และพยานหลักฐานที่ได้นำขึ้นพิสูจน์ต่อศาลตั้งแต่ต้น นายทักษิณยืนยันว่าไม่ได้เจตนา “ท่านทักษิณพูดเสมอมาว่าท่านเป็นอดีตนายกฯ เป็นผู้ที่มีความสำนึกต่อความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพสกนิกรในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว ความจงรักภักดีของท่านมีอย่างชัดเจน และประจักษ์ชัด เหตุดังกล่าวนี้ท่านบอกแล้วว่าไม่ได้มาจากคำพูดของท่านอย่างถูกต้อง และท่านเชื่อว่าเป็นการตัดต่อเราพยายามพิสูจน์ แต่เมื่อจำเลยปฏิเสธ โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าไม่ใช่การตัดต่ออย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าจะทำได้หรือไม่ได้” นายวิญญัติกล่าวติงอันตรายพวกขยายบิดเบือนประเด็นนายวิญญัติกล่าวว่า การนำเสนอข้อมูลข่าวสารปัจจุบันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เทียบกับกรณีของนายทักษิณที่ถูกนำคลิปมา เมื่อเสนอข่าวสารไปแล้ว ผิดถูกตอนแรกยังไม่มีใครพิสูจน์ความจริง ดังนั้นการขยายให้เกิดความเข้าใจผิด หรือการบิดเบือนเป็นเรื่องที่สังคมควรจะระมัดระวัง ไม่ได้พูดถึงเพียงสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ทุกคนควรที่จะระมัดระวังเพราะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก และพวกท่านอาจจะถูกดำเนินคดีด้วย“สมชาย” การันตีจงรักภักดีเทิดทูนสถาบันด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขยของนายทักษิณ ได้เดินทางมาให้กำลังใจนายทักษิณด้วย โดยนายสมชายกล่าวว่า ต้องรอฟังศาลว่าวินิจฉัยอย่างไร แต่ส่วนตัวเชื่อว่าท่านมีความ จงรักภักดี เทิดทูนสถาบัน ส่วนศาลจะวินิจฉัยอย่างไรต้องรอฟังซึ่งเราเคารพในกระบวนการของศาลต่อมาเวลา 09.30 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางถึงศาลอาญา โดยโบกมือทักมวลชนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของศาลอาญา ได้ประสานให้ทักษิณเข้าประตูด้านข้างของศาล โดยมี น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวของทักษิณ ร่วมเดินทางมาให้กำลังใจด้วย โดยพ่อลูกทั้งคู่สวมกอดให้กำลังใจกันอย่างอบอุ่นก่อนขึ้นอาคารศาลไม่พบตัดต่อคลิปเพื่อให้ร้ายจำเลยต่อมา เวลา 10.41 น. ศาลอ่านคำพิพากษา ว่า ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่าสำหรับความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับ นักข่าวตามคลิปวิดีโอ โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความ ยืนยันว่าดูคลิปวิดีโอแล้วเห็นว่าเป็นการ กล่าวถ้อยคำให้สัมภาษณ์จำเลยจริง แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยฉบับเต็มมาเป็นหลักฐาน แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่าคลิปวิดีโอเป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยบางช่วงบางตอน และพยานโจทก์เห็นว่าสามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอ ไม่ปรากฏว่าเป็นการตัดต่อในส่วนใดและส่วนไหนไม่ถูกต้อง หรือไม่ตรงกับความจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ประกอบกับจำเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บุคคลและเสียงใน คลิปวิดีโอเป็นจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนัก รับฟังได้ว่า จำเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สาธารณรัฐ เกาหลีตามคลิปวิดีโอ โดยมีเนื้อหาของข้อความตาม คำฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อ หรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความ ให้ร้ายจำเลยชี้คำพูดไม่ได้ระบุถึงบุคคลใดโดยตรงในส่วนของข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ตาม ฟ้องนั้น เป็นการพูดหรือแสดง หรือพาดพิง หรือทำให้ เข้าใจได้ว่าเป็นการกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ 9 อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่ เห็นว่าข้อความที่จะถือว่าเป็น ความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่า การใส่ความนั้น ระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่า หมายถึง บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะไม่ได้เจาะจงให้เข้าใจว่าหมายถึง ร.9ส่วนการดูหมิ่น ต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าว เป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงขนาดทำให้อับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว อีกทั้งความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการใช้ข้อความหรือคำพูด ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าเมื่อวิญญูชนโดยทั่วไป ได้พบเห็น หรือได้อ่านหรือได้ยินข้อความนั้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้ถูกกระทำเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ ถูกเกลียดชังหรือไม่ เมื่อพิจารณาข้อความ หรือถ้อยคำ ให้สัมภาษณ์ของจำเลยมิได้ใช้คำว่า “พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” โดยตรง และไม่ได้ใช้ถ้อยคำ สรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สามโดยมีคำราชาศัพท์หรือถ้อยคำที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่า หมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด หากแต่ใช้คำ สรรพนามบุรุษที่ 3 ว่า “เขา” เรียกแทนบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกันและยังมีคำว่า “องคมนตรี” “ทหาร” “Palace Circle” และ “คนในวัง” ล้วนแต่อยู่ในประโยคคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยพยานโจทก์ร่วมม็อบไล่ส่อมีอคติเห็นว่าพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ที่โจทก์นำมาเป็นพยานเพียงปากเดียวกับพยานบุคคล ภายนอกที่โจทก์อ้างมา ล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่ จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติ ต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์ จึงไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่าวิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยาน เหล่านั้นเข้าใจ พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอส่วนพยานที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจของโจทก์ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพยานเบิกความตอบคำถามค้านสอดคล้องกันว่า ในระหว่าง การดำเนินคดีกับจำเลยนั้น ความจริงพยานต่างเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องจำเลยได้ เพราะคลิปวิดีโอของกลางไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นต้นฉบับ ทั้งไม่สามารถสืบหาบุคคลที่นำคลิปลงเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาเพจแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ยูทูบที่นำคลิปวิดีโอให้สัมภาษณ์ของจำเลยมาเผยแพร่ลงในระบบคอมพิวเตอร์ พบว่าบุคคลที่นำมาเผยแพร่ซึ่งเป็นคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอมาตั้งแต่แรก ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจและรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจว่าถ้อยคำให้สัมภาษณ์นั้นจะพาดพิงหรือสื่อความหมายหรืออ้างว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยกล่าวข้อความตามคำฟ้อง โดยเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็น หรืออ่านข้อความที่จำเลยกล่าวแล้วจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9ไร้หลักฐานนำสืบทำผิด พิพากษายกฟ้องในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา จึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง แต่มิได้นำพยานหลักฐานใดๆมานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟังไม่ได้ สำหรับความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เห็นว่าเมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้ พิพากษายกฟ้อง“ทักษิณ” ยิ้มโล่งอกขึ้นรถหรูกลับบ้านผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลพิพากษายกฟ้อง นายทักษิณได้เดินทางออกจากศาลอาญา พร้อมแสดงความเคารพบริเวณหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรม ราชชนนีพันปีหลวง จากนั้นเดินลงบันไดมาทักทายสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวหน้าบันไดศาลอาญาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยได้กล่าวกับสื่อมวลชนเพียงสั้นๆว่า “ยกฟ้อง” จากนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงนำพวงมาลัยมามอบให้เป็นกำลังใจ ก่อนนายทักษิณเดินขึ้นรถยนต์ Rolls-royce ส่วนตัวออกจากศาลไปทันทีลั่นจากนี้ขอทำงานเพื่อชาติเต็มที่ด้านนายวิญญัติกล่าวว่า หลังศาลมีคำสั่งยกฟ้อง นายทักษิณยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณทีมทนายความและบอกว่าหลังจากนี้จะได้ทำคุณประโยชน์และทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่ บรรยากาศในช่วงการฟังคำพิพากษานายทักษิณมีท่าทางเรียบเฉยและใช้สมาธิฟังคำพิพากษาของศาล เมื่อศาลอ่านถึงท่อนที่ว่าพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ นายทักษิณจึงยิ้มและดีใจ ถือเป็นปกติของผู้ที่ตกเป็นจำเลยอยู่แล้ว โดยเฉพาะข้อกล่าวหานี้มองว่าเป็นข้อกล่าวหาที่นำมาเล่นงานนายทักษิณ เจ้าตัวตก เป็นเหยื่อ ตอนนี้ถือว่าได้พิสูจน์ตัวเองและเดินเข้าสู่กระบวนการอย่างเต็มที่ ผลออกมาตามที่ทุกคนเห็นในวันนี้จ่อร้องเพิกถอนคำสั่งห้ามไป ตปท.เมื่อถามว่าหลังจากนี้นายทักษิณจะเดินทางออกนอกประเทศได้หรือไม่ นายวิญญัติกล่าวว่า ตอนนี้ข้อหานี้ยกฟ้องแล้ว ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ คำสั่งขอออกนอกประเทศหลังจากนี้ทีมทนายความจะยื่นคำร้องเพิกถอนในเร็วๆนี้ แต่นายทักษิณคงไม่เดินทางไปในเร็ววันนี้แน่นอน และยืนยันจะเข้าฟังการนัดฟังคำสั่งคดีชั้น 14 แน่นอน บุคคลที่ชอบคิดว่านายทักษิณจะหนี หรือเอาผลประโยชน์เข้าครอบครัว คงไม่กราบวิงวอนให้เลิกคิด เพราะเป็นไปได้ยาก ที่ผ่านมานายทักษิณไม่ได้หลบหนีและสู้คดีดังกล่าวมาโดยตลอดชี้โจทก์นำสืบไม่สมภาระ พยานอคตินายวิญญัติกล่าวว่า ศาลยกฟ้องโดยใช้หลากหลายเหตุผล และการพิสูจน์ของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์การฟ้อง จากการสัมภาษณ์ที่เกาหลีใต้ ศาลใช้หลักการชั่งน้ำหนักวัตถุพยาน ศาลเชื่อว่ามีการสัมภาษณ์จริงที่นั่น แต่บทสัมภาษณ์มีมากกว่าที่ปรากฏอยู่ภายในคลิปวิดีโอ ซึ่งเป็นบางส่วนและมีถ้อยคำตรงกัน เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ ไม่ใช่หน้าที่จำเลยที่ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าเป็นการตัดต่อหรือไม่ ส่วนนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์ แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้พิสูจน์ให้ชัดเจนว่าไม่ได้ตัดต่อ ศาลรับฟังด้วยความระมัดระวังและเห็นว่าน่าเชื่อว่ามีการสัมภาษณ์ แต่การสัมภาษณ์ดังกล่าวจะสามารถตีความและรับฟังได้ว่าหมายถึงบุคคลตามมาตรา 112 หรือไม่นั้น ศาลประกอบด้วยหลักไวยากรณ์ มีประธาน กริยา และกรรม โดยประธานเป็นบุคคลที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นบุคคลตามมาตรา 112 แม้จะมีสรรพนามว่า “เขา” ที่พยานบางปากนำมาตีความพิจารณาตามหลักของแต่ละคน ศาลเห็นว่ารับฟังได้น้อยมากไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากพยานมีความเห็นมีอคติ ฝั่งจำเลยก็พิสูจน์ว่าพยานเคยแสดงออกทางการเมืองอย่างไรในอดีต มีใครให้การแบบขัดแย้ง ไม่เป็นกลางในชั้นสอบสวนและชั้นศาลบ้าง บางถ้อยคำนึกคำขึ้นเองว่านายทักษิณน่าจะพูดแบบนั้น เพื่อให้แปลความว่าหมายถึงบุคคลตามมาตรา 112องค์ประกอบไม่เข้าข่ายผิด ม.112นายวิญญัติกล่าวอีกว่า ศาลยังใช้พจนานุกรมต่างประเทศว่าความหมายตามที่ปรากฏในคำฟ้องหมายถึงอะไรบ้าง ไม่ขอลงรายละเอียด แต่รับฟังได้ว่าความหมายดังกล่าวไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์ เมื่อเป็นเช่นนั้นองค์ประกอบความผิด องค์ประกอบภายนอก จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 และองค์ประกอบที่เป็นการกระทำต้องทำให้เข้าใจว่าหมายถึงบุคคลใด ศาลมองว่าประธานเป็นบุคคลที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นบุคคลตามมาตรา 112 แม้จะมีสรรพนามว่า “เขา” พยานบางปากนำมาตีความพิจารณาโดยใช้หลักอะไรของพยานแต่ละคน ศาลเห็นว่ารับฟังได้น้อยมากไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากพยานมีความเห็นมีอคติ ฝั่งจำเลยได้พิสูจน์ว่าพยานเคยแสดงออกทางการเมืองอย่างไรบ้างในอดีต มีใครให้การแบบขัดแย้งและไม่เป็นกลางในชั้นสอบสวนและชั้นศาลบ้าง บางถ้อยคำก็นึกคำขึ้นเอาเองว่าตัวนายทักษิณน่าจะพูดแบบนั้น เพื่อให้แปลความว่าหมายถึงบุคคลตามมาตรา 112ยื่นอุทธรณ์หรือไม่รอ อสส.ชี้ขาดนายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยภายหลังศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องคดี มาตรา 112 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า หลังจากนี้พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนต้องไปขอคัดถ่ายคำพิพากษาพร้อมคำเบิกความมาเพื่อพิจารณาทำความเห็นไปยังสำนักงานคดีอัยการสูงสุดพิจารณากลั่นกรอง และทำความเห็นต่อไปยังรองอัยการสูงสุดที่มีหน้าที่ดูแลในเรื่องนี้ รองอัยการสูงสุดจะทำความเห็นส่งไปให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาลำดับสุดท้ายว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อหรือไม่ภายใน 30 วัน หากครบกำหนดแล้วอัยการสูงสุดยังพิจารณายังไม่แล้วเสร็จ อาจมีการขยายระยะเวลา โดยปกติจะขอขยายครั้งละ 30 วัน สำหรับคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ผู้ที่มีอำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์จะเป็นอำนาจของอัยการสูงสุด“อ้วน” ชี้ไม่เกี่ยวสัญญาณการเมืองที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลอาญายกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในคดีมาตรา 112 จะเป็นผลบวกต่อรัฐบาลหรือไม่ว่า ศาลได้ยกฟ้องเพราะไม่มีข้อมูลที่เป็นจริงในการพิจารณา ถือเป็นข้อยุติ ศาลพิจารณาเป็นเรื่องๆ อย่าไปผูกโยงกัน ไม่งั้นจะเป็นการละเมิดอำนาจศาล ไม่มีสัญญาณทางการเมือง แต่คือความเป็นจริงที่ศาลพิจารณาตามความเหมาะสม ขวัญกำลังใจสมาชิกพรรค พท.ดีมาตลอด เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่ทำว่าไม่มีอะไรผิดกฎหมาย เมื่อถามว่าคดีความต่างๆที่มีอยู่ รัฐบาลมั่นใจใช่หรือไม่ว่าจะอยู่จนครบวาระ นายภูมิธรรมกล่าวว่า มั่นใจว่าเราบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจบริหารและทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ เมื่อรับอาสามาแล้ว เราจะทำให้ดีที่สุด อะไรที่เกิดขึ้นและเป็นปัญหาคดีความ ขอให้ว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ไม่ได้มีผลอะไรต่อเราเด็กเพื่อไทยเฮนายใหญ่พ้นข้อหานายพัฒนา สัพโส สส.สกลนคร พรรค พท. ให้สัมภาษณ์ว่านายทักษิณเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยสัญลักษณ์ของพรรค พท. ที่พวกเราให้ความเคารพรักและเราเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา การที่ศาลพิพากษายกฟ้องทำให้คนในพรรค พท.ต่างรู้สึกยินดี ส่วนคดีการพักรักษาตัวที่ชั้น 14 นายทักษิณถือเป็นผู้ต้องขัง การที่จะพักรักษาตัวที่ไหนอย่างไร นายทักษิณไม่มีอำนาจไปทำอะไรอยู่แล้ว เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ จึงเชื่อมั่นว่านายทักษิณจะผ่านเรื่องนี้ไปได้“วันนอร์” ป้อง “ไชยา” มือใหม่เข้าใจผิดที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ กล่าวถึงกรณีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 สั่งปิดการประชุมสภาฯก่อนจะมีการเสนอพิจารณาญัตติด่วนเรื่องบันทึกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2543 และ 2544 ของนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้สอบถามเลขาธิการสภาฯและรองเลขาธิการสภาฯ ทราบว่าเข้าใจผิดพลาดว่าเมื่อจบการรับทราบรายงานแล้ว จะเป็นเรื่องที่คณะ กมธ.พิจารณาเสร็จแล้ว แต่ กมธ.ตำรวจยังไม่พร้อมรายงานจะเข้าญัตติด่วนได้ แต่เมื่อวันที่ 21 ส.ค.มีการประสานงานระหว่างฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาลกันหน้าบัลลังก์ประธาน ผู้ทำหน้าที่ประธานการประชุมอาจจะเข้าใจผิดกันว่าหมดวาระแล้วจึงสั่งปิดการประชุมสภาฯ เป็นบทเรียนว่าวิป 2 ฝ่ายต้องประสานงานให้ชัดเจน ไม่คิดว่าจะเป็นเกมการเมือง เพราะนายไชยาเป็นคนมีเหตุมีผลแล้ว มีความเห็นอิสระเคร่งครัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ อาจจะเข้าใจผิดจริงๆโยนวิป 2 ฝ่ายประสานให้ชัดเจนประธานสภาฯกล่าวว่า ในฐานะประธานสภาฯ ต้องขออภัย ครั้งหน้าต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้ดียิ่งขึ้น เช่น กองการประชุมต้องประสานงานให้ผู้ทำหน้าที่ประธานการประชุมให้ทราบทุกระยะ เชื่อมั่นการทำหน้าที่ของนายไชยาทำหน้าที่เป็นกลาง หากช่วงนั้นมีการเสนอญัตติเรื่องชายแดนหรือ MOU 2543-2544 คงจะพิจารณา แต่จากที่ทราบคือการประสานงานไม่มีความชัดเจน ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงต้องประชุมลับ ขอให้วิป 2 ฝ่ายประสานงานให้ชัดเจน สัปดาห์หน้าวันที่ 28 ส.ค.เสนอเข้ามาได้ แต่ถ้าไม่ประสานงานกันก็เสียดายเป็นญัตติที่มีประโยชน์ภท.ลุยต่อเร่งสภาถกยกเลิก MOU43—44นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรค ภท. กล่าวถึงความคืบหน้าการผลักดันให้ยกเลิกบันทึก ความเข้าใจ (MOU) ปี 43 และ 44 ระหว่างไทย- กัมพูชาว่า พรรคเห็นความจำเป็นต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเร่งด่วน มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ที่ผ่านมาพยายามผลักดันหลายครั้ง แต่ยังไม่ไปไหน เพราะสภาฯปิดประชุมก่อน สัปดาห์หน้าจะเดินหน้าผลักดันจริงจังหลังจากได้ยื่นญัตติด่วนไปแล้ว ถึงเวลาต้องนำเข้าสู่การพิจารณาเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ อยากให้สภาเปิดพื้นที่ เปิดใจกว้าง รับฟังเสียง สส.ที่นำเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมืองเข้าสู่การถกเถียง ยิ่งทำได้เร็วยิ่งดี นี่คือเรื่องของประเทศ ไม่ใช่เล่นการเมือง และพฤติการณ์ของกัมพูชาที่ไม่เคารพต่อข้อตกลงที่เคยให้ไว้กับฝ่ายไทย จนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และผลประโยชน์ของประเทศ ถึงเวลาแล้วต้องหยิบยกขึ้นมาหารือใหม่ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ และควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ ไม่ควรรอช้า ขอฝากถึงเพื่อนสมาชิกในสภาว่า อย่าเพิ่งเร่งปิดประชุมหรือเลี่ยงประเด็นสำคัญ แต่ควรแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาความมั่นคงที่กำลังเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่คืออนาคตของประเทศ ไทยทั้งประเทศพท.เตรียมเปลี่ยนตัว 5 ปธ.กมธ.ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า หลังสภาฯอายุ ครบ 2 ปีพรรค พท.จะปรับเปลี่ยนโควตาประธาน กมธ.ในโควตาพรรคตามข้อตกลงให้ สส.เป็นประธาน กมธ.คนละ 2 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ สส.เรียนรู้งานหลายหน้าที่ ตำแหน่งที่จะปรับเปลี่ยนประกอบด้วย 1.กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อเป็นประธาน เมื่อไปเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ให้นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด เป็นประธาน กมธ. ล่าสุดนายฉลาดไปนั่งรองประธานสภาฯคนที่ 2 จะเปลี่ยนให้นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี 2.กมธ.การเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน เดิมนายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ สส.น่าน เปลี่ยนเป็นนายนพพล เหลืองทองนารา สส.พิษณุโลก 3.กมธ.สาธารณสุข นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ เป็น นพ.โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย สส.ชัยภูมิ 4.กมธ.ท่องเที่ยวจากนายเอกธนัช อินทร์รอด สส.หนองคาย เป็น น.ส.ชนก จันทาทอง สส.หนองคาย 5.กมธ.ป้องกัน ปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สส.เลย เป็นนายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่ออีก 3 กมธ.รอลุ้นเปลี่ยนเก้าอี้ส่วนตำแหน่งประธาน กมธ.อื่นๆ อาทิ ประธาน กมธ.ต่างประเทศ ยังไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจาก น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร สส.ขอนแก่น ยังดำรงตำแหน่งประธาน กมธ.ไม่ครบ 2 ปี เช่นเดียวกับ กมธ.สื่อสาร โทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่นายสยาม หัตถสงเคราะห์ สส.หนองบัวลำภู เป็นประธาน กมธ.ยังดำรงตำแหน่งไม่ครบ 2 ปี ขณะที่ กมธ.ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ที่มีนางเทียบจุฑา ขาวขำ สส.อุดรธานี เป็นประธาน กมธ. กมธ.คมนาคม ที่มีนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ เป็นประธานและ กมธ.กิจการสภาฯ ที่นายประเสริฐ บุญเรือง สส.กาฬสินธุ์ เป็นประธาน กมธ.ยังไม่นิ่ง ต้องรอพิจารณาอีกครั้งกมธ.สันติสุขจ่อปรับเงื่อนไข ม.112ที่รัฐสภา นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ รองประธาน กมธ. วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขกล่าวถึง การแก้ไขเนื้อหามาตรา 3 ที่เสนอให้นิรโทษ กรรม ความผิดมาตรา 112 แก่เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีว่า ที่ประชุม กมธ.ลงมติเสียงข้างมากว่าควรปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์ เช่น ควรแยกคดีเยาวชนออกจากคดีผู้ใหญ่ แต่เงื่อนไขข้อยกเว้นนิรโทษกรรม 3 กลุ่ม ยังไม่แก้ไขให้ผิดไปจากเดิม ส่วนการนิรโทษ กรรมให้เยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปี ที่ทำผิดมาตรา 112 ยังไม่สรุปจะแก้ไขอย่างไรต้องรอดู แต่จะไม่มีการตัดคดีความผิดมาตรา 112 ออกไป คดีมาตรา 112 ยังอยู่ในเงื่อนไขไม่นิรโทษกรรมให้ เนื้อหามาตรา 3 จะปรับปรุงอย่างไร ต้องหารืออีกครั้งสัปดาห์หน้า นายนิกร จำนง กมธ.กล่าวว่า กมธ.ยังไม่มีข้อสรุปเนื้อหาที่จะแก้ไข เสียงข้างน้อยเห็นว่าควรคงเนื้อหาไว้ตามเดิม หากไปแก้ไขอาจขัดหลักการที่สภาฯรับหลักการมา ส่งผลให้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาฯได้ รายละเอียดจะปรับปรุงรูปแบบใดยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน ต้องรอการประชุมสัปดาห์หน้าอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่