มาตรการ Reciprocal Tariff กำหนดอัตราภาษีการนำเข้าสินค้าไทยไปสหรัฐฯอยู่ที่ 19% ซึ่งจะมีการพิจารณาในรายละเอียดโดยเฉพาะ สินค้าสวมสิทธิ์ จากประเทศอื่น เช่น จีน ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าสวมสิทธิ์ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯมีมูลค่าเกือบ 2 หมื่นล้าน หรือเกือบครึ่งของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เป็นการแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมา มูลค่าการค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นมูลค่าสินค้าจากประเทศอื่นที่อาศัยไทยเป็นทางผ่านเท่านั้นเพราะฉะนั้น ปัญหาที่จะตามมาอีกบานตะไท เช่น การพิสูจน์สิทธิ์สินค้าว่าเป็นสินค้าของไทย หรือสินค้าสวมสิทธิ์ถ้าจะประเมินสถานการณ์การค้ากับสหรัฐฯในอนาคตตามที่ พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย เห็นว่ารัฐจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับโครงสร้างรองรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัว เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจของไทย โดยเฉพาะผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรมีการตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมบางประเด็น เช่น ดุลการค้าไทย-สหรัฐฯ ประเทศไทยยังเกินดุลกับสหรัฐฯ ควรกระตุ้นการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯและส่งเสริมการลงทุนจากไทยไปสหรัฐฯ การทำ Transshipment ที่สหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 40% ซึ่งอาจจะมีบทลงโทษตามมาด้วย สินค้าไทยบางส่วนถูกจับตาในการสวมสิทธิ์การส่งออกไปสหรัฐฯ หรือส่งต่อไปประเทศที่สามที่จะต้องจัดสัดส่วนความชัดเจนของประเภทสินค้า และ Final transportation ก่อนวันที่ 7 ส.ค. และสามารถส่งออกไปสหรัฐฯก่อนวันที่ 5 ต.ค. ซึ่งจะต้องถูกเก็บภาษีอีก 10% หรือออกจากคลังตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.เป็นต้นไป จะต้องเสียภาษี 19% จะต้องมีการสนับสนุนจากทีมไทยแลนด์กำหนดมาตรการให้ชัดเจนกลุ่มประเทศอาเซียนมีการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯด้วยมูลค่า 477,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 15.6 ล้านล้านบาท เวียดนาม ส่งออกไปสหรัฐฯมากที่สุด มูลค่า 137,000 ล้านดอลลาร์ บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ เสียภาษีนำเข้าที่ 20% จาก 46% อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา โดนเก็บภาษีร้อยละ 19 เท่ากับไทย แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้พึ่งพาตลาดส่งออกไปสหรัฐฯ เท่ากับไทย ซึ่งปีที่ผ่านมาไทยมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯกว่า 63,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1 ใน 5 ของการส่งออกทั้งหมด ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ที่เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สิทธิพิเศษใดๆมากนัก ส่วนความสัมพันธ์กับ ไทย ไม่เป็นที่พึงพอใจสหรัฐฯในหลายเรื่อง เช่น การฟ้องร้องนักวิชาการชาวสหรัฐฯ ในข้อหา ม.112 การส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ให้จีน ทั้งที่มีคำเตือนจากกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯแล้วเป็นสาเหตุว่าทำไมไทยจึงไม่มีข้อต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์กับทั้งสหรัฐฯหรือจีน ข่าวการต่อรองการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเปรียบเทียบขนาดเรือรบของสหรัฐฯกับร่องน้ำในบริเวณนั้นเรือขนาดใหญ่คงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่ฝั่งกัมพูชาน่าจะเหมาะสมกว่า และฝั่งกัมพูชาทรัพยากรธรรมชาติในทะเลมีแต่น้ำมันฝั่งไทยมีแต่ก๊าซธรรมชาติ ส่วนจีนไปลงทุนในกัมพูชาเกือบ 50% กลืนไม่เข้าคายไม่ออก.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม