สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา “พื้นที่อีสานตอนล่าง” ยังอยู่ในภาวะคุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียดต้องจับตาตั้งแต่ จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ โดยเฉพาะพื้นที่พิพาทปักปันเขตแดนยังไม่ชัดเจนด้วยเหตุจากสองฝ่ายยึดถือ “แผนที่คนละฉบับในการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดน” ไม่ว่าจะเป็น MOU2543 พื้นที่ทางบก และ MOU 2544 เขตแดนทางทะเลยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหว และหาข้อสรุปได้ยากแม้มีการเจรจาผ่านกลไก “คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC)” อยู่เป็นระยะ แต่ความคืบหน้าการแก้ปัญหาก็เป็นไปอย่างล่าช้า ทำให้เกิดเหตุปะทะเล็กๆน้อยๆ มีการเผชิญหน้าบริเวณชายแดนเกิดขึ้นบ่อยๆ เสมือนเป็นการเติมเชื้อไฟความขัดแย้งพร้อมจะลุกลามได้หากมีปัจจัยกระตุ้นในแง่ยุทธวิธี “ชายแดนไทย–กัมพูชา” แม้จะคลี่คลายแต่เงื่อนไขข้อ 4 ที่ฝ่ายกัมพูชาเพิ่มเข้ามายืนยันไม่ถอนกำลัง ตรงนี้ไทยต้องวิเคราะห์ท่าทีของฝ่ายกัมพูชาที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งและปะทะกันได้ในอนาคตแล้วสถานการณ์ยิ่งซับซ้อนกว่านั้น “เมื่อปัจจัยภายนอกของมหาอำนาจมาเกี่ยวด้วย” โดยเฉพาะจีนมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้านก็ยิ่งทำให้ชายแดนไม่อาจมองเป็นแค่ “ข้อพิพาทเล็กๆ” แต่เชื่อมโยงถึงการวางหมากในภูมิภาคแห่งนี้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) บอกว่าจริงๆแล้วความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น “เกิดจากการเมืองไทยอ่อนแอ” ทำให้ถูกฉวยโอกาสจุดชนวนประเด็นสร้างข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับ “ดินแดน” มักเห็นตัวอย่างจากกรณีของ MOU2543 เขตแดนทางบก และ MOU2544 อันเกี่ยวกับเขตแดนทางทะเลบริเวณเกาะกูด จ.ตราด ที่จะมีปัญหาเหมือนกันเสมอปัญหาหลักคือ “การเจรจาปักปันเขตแดนทำได้ยาก” เพราะไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคหรือกฎหมายเท่านั้น แต่ยังติดปมลึกทางประวัติศาสตร์ความรู้สึกของผู้คน และความเชื่อกับอธิปไตยต่างฝ่ายต่างยึดถือไม่เหมือนกันพอเวลามาพูดคุย “เรื่องเขตแดนก็ใช้แผนที่กันคนละฉบับ” อย่างกรณีข้อพิพาททางทะเลบริเวณเกาะกูด “กัมพูชา” ลากเส้นเขตแดนยืนยันเส้นนั้นถูกต้อง “ฝ่ายไทย” ก็ใช้แผนที่ที่ยึดถือในเชิงหลักฐานมายาวนาน ทำให้ยากที่จะหาข้อสรุปตรงกันได้ เว้นแต่จะมีแผนที่กลาง หรือแผนที่ยอมรับร่วมกัน แต่จนตอนนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเสียทีแม้แต่กรณี “ช่องบก” ฝ่ายไทยยึดแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 มีความละเอียดเป็นที่ยอมรับระดับสากล “กัมพูชากลับไม่ยอมรับ” ดังนั้นแม้ไทยมีหลักฐานชัดเจนเพียงใดการเจรจาก็ยังติดขัดทำให้การปักปันเขตแดนซับซ้อนยิ่งขึ้น เพราะปัญหาไม่ได้อยู่แค่ความถูกต้องทางเทคนิคอย่างเดียวแต่อยู่ที่แต่ละฝ่ายเลือกเชื่อหลักฐานชุดใด เช่นนี้การแก้ปัญหาจึงต้องรอปัจจัยภายนอกจาก “บทบาทของมหาอำนาจ” เรื่องนี้ไทยไม่มีอิทธิพลเพียงพอไปกำหนดเปลี่ยนแปลงได้ แต่สิ่งที่กองทัพและรัฐบาลไทยพอทำได้ต้องสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง ทั้งความพร้อมกองกำลังที่เข้มแข็ง มีศักยภาพในการป้องกันประเทศ ด้วยการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีทางทหารสมัยใหม่ อย่างเช่นโดรนลาดตระเวนพื้นที่ห่างไกล เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เพราะเมื่อคนไม่อาจเฝ้าได้ต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ไม่ใช่แค่เพื่อป้องกันการปะทะ แต่เพื่อปิดช่องโหว่ทางความมั่นคงทั้งหมดซึ่งมีความสำคัญต่อ “การตอบสนองภัยคุกคาม” เพราะปัญหาตามแนวชายแดนหากมองปัจจัยแวดล้อมตอนนี้ไม่เอื้อกับฝ่ายไทยจากปัจจัยภายนอกของมหาอำนาจจีนไม่เป็นใจทำให้ต้องมาสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองแล้วถ้าหากไม่มีระบบเฝ้าระวังที่แม่นยำ “อาจพลาดจุดสำคัญนำไปสู่ข้อพิพาทระยะยาว” ในกรณีนี้ก็น่าสังเกตจากบริเวณช่องบกครั้งแรกฝ่ายกัมพูชาเข้ามาฝ่ายไทยก็ผลักดันออกไปได้ แต่ครั้งที่ 2 ฝ่ายกัมพูชากลับมาพร้อมการโต้แย้งว่า “พื้นที่เป็นของฝ่ายกัมพูชา” เพราะมีคูเรทมีสนามหญ้าเป็นหลักฐานว่าเคยใช้พื้นที่จริงๆ“เห็นจุดเล็กๆแบบนี้หากไม่ระวังในเชิงเทคนิคฝ่ายกัมพูชาอาจนำไปใช้เป็นข้ออ้างทางประวัติศาสตร์ ในการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างประเทศในศาลโลกได้ ลักษณะคล้ายกับที่ฝ่ายไทยเคยสูญเสียเขาพระวิหารมาก่อนนั้นจึงต้องเข้มงวดในการเฝ้าระวังพื้นที่ด้วยการใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจการณ์เพื่อให้มีข้อมูลโต้แย้งได้” พล.ท.ภราดร ว่าตอกย้ำหาก “ไทยไม่สร้างภูมิคุ้มกันไว้ตอนนี้” ย่อมมีความเสี่ยงเกิดปะทุขึ้นอีก หรือแม้แต่ฝ่ายกัมพูชานำเข้าสู่ศาลโลกก็มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำสูง “อันเกิดจากปัจจัยการเมืองภายในของไทยอ่อนแอ” กลายเป็นช่องว่างที่ประเทศเพื่อนบ้านฉวยโอกาสเข้ามาแสวงหาจุดร่วม หรือผลักดันประเด็นที่ตนเองชิงความได้เปรียบสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันคือ “การใช้กลไกระดับอาเซียน” ให้มีบทบาทเป็นกลไกร่วมในการแก้ปัญหาพิพาทกับกัมพูชาโดยอาศัยความเป็นประเทศสมาชิกในภูมิภาคเดียวกัน “สื่อสารว่าจะมาทะเลาะกันเองไม่ได้” เพราะหากอาเซียนอ่อนแอจะเปิดทางให้มหาอำนาจจากภายนอกเข้ามามีอิทธิพลและจัดระเบียบภูมิภาคแทนเหตุนี้ “อาเซียนต้องจับมือให้แข็งแกร่ง” ไทยต้องเดินเกมทางการทูตจริงจังในระดับผู้นำต้องเปิดเวทีเจรจากับผู้นำสมาชิกอาเซียนแสดงพลัง “กดดันกัมพูชา” เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพผลประโยชน์ร่วมในภูมิภาคนี้แต่หลายคนตั้งคำถามว่า “ผู้นำไทยที่เป็นที่ปรึกษาประธาน อาเซียน” ทำไมไม่ขับเคลื่อนกลไกอาเซียนในเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นจุดแข็งอยู่ในมือสามารถใช้เวทีอาเซียนผลักดันประเด็นดังกล่าวได้กลับเลือกที่จะนิ่งเฉยย้อนกลับมาที่ “ช่องบก” กัมพูชาขุดคูเรทล้ำพื้นที่ทับซ้อน 600 เมตร “ไม่มีใครรู้เลยหรือ?” ถ้าขุดอุโมงค์คงพอเข้าใจได้ แต่ขุดคูเรทควรถูกตรวจพบก่อนจะขุดยาวขนาดนั้น ซึ่งก็มีเสียงสะท้อนว่าทหารในพื้นที่รายงานความเคลื่อนไหวผิดปกติหลายครั้งแล้ว ตรงนี้ต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอกภาพฝ่ายนโยบายกับกองทัพหรือไม่จนทำให้ข้อพิพาทชายแดน “ไม่เคยลงตัว” แถมกำลังจะถูกเชื่อมโยง MOU44 ทางทะเลผลักดันให้เกิดการประชุม JBC ในเดือน มิ.ย. แม้เริ่มต้นจะพูดคุยกัน MOU43 ด้วยกัมพูชามีเป้าหมายทางประวัติศาสตร์ในแถบภาคอีสานตอนล่างของไทยการเคลื่อนไหวทางบก เช่น ช่องบก ปราสาทตาเมือนอาจเป็นเพียงจุดเร่งเพื่อเปิดฉากเจรจาแล้วโต๊ะเจรจา JBC “กัมพูชา” อาจโยงเรื่องทางน้ำ MOU44 เกาะกูดมารวมเป็นชุดเดียว กลายเป็นเกมบีบเจรจากว้างขึ้น โดยกัมพูชาอาจจะต้องการจัดการขอบเขตให้เบ็ดเสร็จในครั้งนี้ ฉะนั้นไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับกัมพูชาที่มียุทธศาสตร์วางไว้แล้วทั้งในเชิงการเมือง ประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์กับมหาอำนาจฉะนั้นต้องจับตาการประชุม JBC กลไกความร่วมมือบรรเทาความตึงเครียด และป้องกันความขัดแย้งรุนแรง “รัฐบาลไทย” ต้องเตรียมความพร้อมทุกด้านเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติสูงสุด.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม