กลายเป็นเรื่องอับอายขายหน้าไปทั่วโลก รายงานข่าวระบุว่า เชียงใหม่เมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของไทย กลายเป็น เมืองที่คุณภาพอากาศย่ำแย่ที่สุดในโลก ติดต่อกันสองวัน แม้แต่กรุงเทพมหานคร ก็ติดอันดับต้นๆของโลก รายงานระบุว่ามีฝุ่นพิษและควันลุกลามใน 41 จังหวัด เกือบทุกภาคสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยี อวกาศและภูมิสารสนเทศ เปิดเผยว่าดาวเทียมซูโอมิ เอ็นพีพี พบจุดร้อนในประเทศไทย 1,061 จุด มีฝุ่นพิษ 161.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แพร่กระจายเหนือพื้นที่เชียงใหม่ และหลายจังหวัดภาคเหนือ บางส่วนของตัวเมืองปกคลุมด้วยควัน และมีจุดร้อนในภาคเหนือ 569 จุดนักวิชาการต่างประเทศ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับมลพิษทางอากาศในไทย รายงานว่า มีผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลจากโรคที่เกิดจากมลพิษทางอากาศในหลายปีที่ผ่านมา ถึง 400,000 คน มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรกว่า 50,000 คน ส่วนในปีนี้ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชนแล้ว ยังกระทบถึงการท่องเที่ยวเชียงใหม่ฝุ่นพิษหรือพีเอ็ม 2.5 เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทย แต่รัฐบาลที่ผ่านมารวมทั้งรัฐบาลปัจจุบัน แก้ปัญหาแบบเดิมๆ ในทุกปีที่เกิดฝุ่นพิษ ในตอนต้นปีนั่นก็คือ รัฐบาลจะสั่งห้ามเผาป่า แต่ห้ามไม่จริงจัง ยังมีการลักลอบเผาทุกปี ส่วนใน กทม. แก้ปัญหาด้วยการฉีดน้ำ รัฐบาลไม่มีนโยบายแก้ปัญหาระยะยาวแม้แต่การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งปี 2566 ก็ไม่มีพรรคการเมืองประกาศนโยบายแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ทั้งๆที่เป็นสาเหตุการตายร้ายแรงกว่าโรคอ้วน การสูบบุหรี่ หรือแม้แต่โรคโควิด–19 แต่พรรคการเมืองไทยเอาแต่แย่งกันประกาศนโยบายประชานิยม แย่งกันแจกเงินแลกคะแนนเสียงมากกว่าเป็นที่รู้กันดีในทางวิชาการว่าต้นเหตุของฝุ่นพิษที่สำคัญมี 3 ทาง นั่นก็คือ เกิดจากการใช้ยวดยานพาหนะในการขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม และการเกษตร แต่รัฐบาลไทยกลับไม่มีนโยบายแก้ปัญหาอย่างจริงจังถึงต้นตอ หนำซ้ำบางรัฐบาลยังแก้กฎหมายอุตสาหกรรม เปิดช่องให้เกิดมลพิษยิ่งขึ้นนับแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศมากว่า 8 ปี ประเทศไทยต้องประสบปัญหาฝุ่นพิษรุนแรงยิ่งขึ้น สวนทางกับคำขวัญของรัฐบาลที่ว่า “ทำได้ ทำอยู่ ทำต่อ” รัฐบาลทำอะไรบ้าง ที่เป็นการแก้ปัญหาฝุ่นพิษอย่างยั่งยืน ได้แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเป็นปีๆ ไม่มีแม้แต่นโยบายที่จะแก้ปัญหา.