พิษน้ำท่วมภาคใต้ส่งผลกระทบต่อ “เศรษฐกิจหนัก ส่งท้ายปี 2568” โดยเฉพาะหาดใหญ่แม้ว่าสถานการณ์น้ำจะลดลงบางจุดแห้งแล้วจนปรากฏภาพความเสียหายที่เต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพังของอาคาร รถยนต์ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และประชาชนเดือดร้อนกว่า 1 ล้านครัวเรือนขณะเดียวกัน “ธุรกิจ SME และร้านค้าปลีกในตัวเมืองหาดใหญ่” ก็ได้รับความเสียหายหนักจนต้องหยุดกิจการชั่วคราวไม่อาจกลับมาเปิดดำเนินการได้ในเร็ววันนี้ ส่วนภาคการผลิต การเกษตร และอุตสาหกรรมบริการก็ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเสียหายกว่า 4 แสนไร่ มูลค่าความเสียหายประเมินไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาทการรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากน้ำท่วม วีระพงษ์ ประภา รอง หน.พรรคประชาธิปัตย์ (ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) บอกว่า เบื้องต้นตัวเลขของกสิกรไทยได้ประเมินผลกระทบต่อประชาชนใน 9 จังหวัดราว 8 แสน-1 ล้านครัวเรือน มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.13% ของ GDP ประเทศ ตามที่ลงพื้นที่ให้กำลังใจผู้ประสบภัยจังหวัดที่รับผลกระทบที่สุดคือ “จ.สงขลา” โดยเฉพาะหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ ซึ่งในระยะสั้นจะเห็นได้จากธุรกิจต่างๆ “ต้องหยุดดำเนินงาน” ในส่วนระยะยาวภาคธุรกิจ โรงงาน ภาคบริการ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และระบบขนส่ง จำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวพอสมควรสำหรับพื้นที่รอบนอก “เกษตรกรรม” ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เพาะปลูก ฟาร์มประมง และภาคประมงชายฝั่งเสียหายหนักโดยเฉพาะยางพารา และปาล์มน้ำมัน ถือเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย อย่างไรก็ดี ยังไม่อาจประเมินความเสียหายได้ชัดเจนทั้งหมด เพราะหลายพื้นที่ยังมีน้ำท่วมที่อยู่ระหว่างการสำรวจความเสียหายเพิ่มเติมแต่ในเชิงปฏิบัติหาก “เกิดน้ำท่วม” ภาคเกษตรกรไม่อาจกรีดยาง หรือเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมันได้ และโรงงานแปรรูปหลายแห่งก็ต้องหยุดดำเนินการ ดังนั้นด้วยภาคใต้สามารถสร้างรายได้ 10% ของ GDP ประเทศ เมื่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ 9 จังหวัด ต้องหยุดชะงักย่อมมีผลต่อรายได้ของภูมิภาคที่ควรจะเกิดขึ้นจึงหายไปเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อยากจะขอเสนอให้ “รัฐบาล” มีมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเร่งด่วน 6 เรื่อง คือ ข้อแรก... “เงินเยียวยา 9,000 บาทตาม ครม.อนุมัติ” สิ่งที่จำเป็นต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงเงินได้รวดเร็ว สะดวก ไม่ยุ่งยาก โดยมีจุดบริการแบบ One Stop Service เพื่อให้กรอกข้อมูลเพียงครั้งเดียวและได้รับสิทธิ์อย่างครบถ้วนนอกจากนี้ ตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุฉุกเฉินปี 2563 “ยังระบุสิทธ์ิเยียวยาอื่นๆ” อย่างค่าวัสดุซ่อมแซมบ้าน ค่าอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ค่าเครื่องใช้จำเป็น และค่าช่วยเหลือผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย ซึ่งเป็นสิทธิ์เพิ่มเติมเพียงแต่ตอนนี้ไม่เห็นภาครัฐประกาศรายละเอียดสิ่งเหล่านี้ออกมาให้ประชาชนสามารถขอรับกันได้ข้อสอง... “เงินเยียวยากรณีผู้เสียชีวิต 2 ล้านบาท” เรื่องนี้ต้องแยกระหว่างเงินช่วยเหลือ เงินประกัน และเงินสินเชื่อ สิ่งสำคัญต้องทำให้ประชาชนมองเห็นตัวเลือก option แต่ละครัวเรือนตามระดับความเดือดร้อน และรัฐบาลต้องประสานกับสถาบันการเงิน เพื่อจัดทำฐานข้อมูลกลางระบุช่องทางช่วยเหลือแยกตามกลุ่มเป้าหมายอย่างสิทธิ์รับจากรัฐ สิทธิ์เคลมประกัน ช่องทางขอสินเชื่อเพิ่มเติมหากจำเป็น และกำหนดผู้ตัดสินใจ เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปด้วย ความคล่องตัวอันจะเป็นปัจจัยฟื้นฟูภาคธุรกิจ ค้าปลีก โรงแรมและแรงงานรายวันแล้วรัฐบาลควรจัดมาตรการสนับสนุน “หลักประกัน” เพราะทรัพย์สินและเอกสารของประชาชนสูญหายไปกับน้ำท่วมอาจเข้าถึงเงินเยียวยาหรือสินเชื่อฟื้นฟูได้ยาก โดยมีตัวอย่างน่าสนใจในมาเลเซียที่ได้ร่วมกับสถาบันการเงินออกกองทุนเยียวยา Relief and Adaptation Facility Fund เพื่อการันตีให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วนทำให้สถาบันการเงินมั่นใจ “ปล่อยสินเชื่อลดความเสี่ยงหนี้สูญ” จึงเสนอแนวคิดตั้ง Hat Yai Recovery Fund โดยรัฐบาลร่วมกับสถาบันการเงินเพื่อปรับกฎเกณฑ์ปกติให้เหมาะกับสถานการณ์วิกฤติคล้ายในช่วงสึนามิ หรือโควิด เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่ออันจะช่วยวางแผนทางการเงินและฟื้นฟูฐานะได้อย่างมั่นคง ข้อสาม...“การฟื้นฟูการท่องเที่ยว” หาดใหญ่พึ่งพานักท่องเที่ยวมาเลเซียแต่กำลังเผชิญความเชื่อมั่นลดลงจากหลายพันคนติดอยู่ในโรงแรม และขาดน้ำ-อาหาร จึงต้องเร่งสร้างความมั่นใจ เช่น ออกโครงการ Gift Voucher เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับมา ทั้งประสานงานกับสถานทูตและกงสุลเพื่อวางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินในอนาคตข้อสี่... “การฟื้นฟูธุรกิจ SME และค้าปลีก” เพราะหาดใหญ่มีธุรกิจค้าปลีกระดับกลางจำนวนมากเสียหายหนัก “ภาครัฐ” ควรใช้โอกาสนี้ช่วยให้ธุรกิจปรับตัวด้วย 2 แนวทาง คือ สนับสนุนด้านเงินทุนให้ธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม และให้คำปรึกษาพัฒนา เช่น แนวคิด Business Matching ของสิงคโปร์ ในการจับคู่ SME กับที่ปรึกษาเอกชนพัฒนาธุรกิจ เช่น ปรับสู่ช่องทางออนไลน์หรือ E-commerce เชื่อม SME กับห่วงโซ่อุปทานระดับตลาดสากล ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตและขอสินเชื่อขยายกิจการได้มั่นใจขึ้นข้อห้า... “แรงงาน” ภาค SME และธุรกิจหลังน้ำท่วมในอุตสาหกรรมเกษตร การผลิต การบริการต้องหยุดชะงัก แต่ช่วงฟื้นฟูจะมีความต้องการแรงงานสูง เช่น งานก่อสร้างช่างซ่อมโดยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของหาดใหญ่ “ภาครัฐ” ควรมีกลไกเชื่อมโยงแรงงานกับธุรกิจ เช่น ระบบจัดหางาน แพลตฟอร์ม Matching ร่วมกับภาคเอกชนซึ่งภาครัฐทำหน้าที่ประสานสนับสนุนแพลตฟอร์มของเอกชน เพื่อให้แรงงานมีงานทำธุรกิจฟื้นตัวได้ และประชาชนได้รับประโยชน์จากการบริการที่ดี ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญของมาตรการฟื้นฟู SME และตลาดแรงงานครั้งนี้ สุดท้ายผลักดัน “หาดใหญ่เป็นเมืองรองรับภัยพิบัติ” เพราะเหตุฝนตกกว่า 660 มม.ใน 3 วันชี้ชัดว่าระบบป้องกันไม่เพียงพอต้องถอดบทเรียนและปรับปรุงใหม่ โดยรัฐต้องสนับสนุนทั้งงบประมาณ โครงสร้างพื้นฐาน ระบบเตือนภัย การพยากรณ์ การอพยพ และที่อยู่อาศัย เพื่อพัฒนาให้เป็น Resilient City รับมือ Climate Change ได้เพราะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และไทย กำลังเผชิญปัญหา Climate Change เดียวกัน หากไทยไม่เร่งสร้างระบบเตือนภัย การพยากรณ์ การอพยพ และที่อยู่อาศัยรองรับภัยธรรมชาติฉับพลันจะทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อความเสียหายจากเหตุการณ์ทางธรรมชาติอย่างรุนแรงนี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ “รัฐบาล และทุกพรรคการเมือง” ต้องเร่งกำหนดนโยบายให้เป็นรูปธรรมสำหรับการจัดการเมืองให้ปลอดภัย และพร้อมรับมือภัยธรรมชาติในอนาคตที่ไม่ใช่เฉพาะหาดใหญ่แต่รวมถึงหัวเมืองใหญ่ของประเทศด้วย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม