จากกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เตรียมเดินหน้านำร่องใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ฐานสมรรถนะ) ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในเดือน ก.ย.นี้ แต่มีกระแสคัดค้านจากหลายภาคส่วนถึงความไม่พร้อมของแต่ละสถานศึกษา และเรียกร้องอยากให้มีการชะลอการนำร่องใช้หลักสูตรดังกล่าวออกไปก่อนนั้นน.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การดำเนินการนำร่องทดลองฯ ยังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิม แต่ตนจะหารือกับคณะกรรมการจัดทำและพัฒนา (ร่าง) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอีกครั้งว่าเมื่อมีเสียงคัดค้านเราควรจะเลื่อนการนำร่องใช้หลักสูตรนี้ไปก่อนหรือไม่ เพราะโดยหลักการ โรงเรียนที่จะเข้าร่วมนำร่องใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะจะต้องเข้าร่วมด้วยความสมัครใจ เพราะในสถานการณ์โควิด-19 ตนไม่อยากไปเพิ่มภาระให้กับผู้บริหารสถานศึกษาและครู แต่อย่างไร ก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานจาก สพฐ.ว่ามีโรงเรียนที่สมัครใจจะเข้าร่วมนำร่องใช้หลักสูตรแกนกลางจำนวนกี่แห่ง แต่เท่าที่ทราบตั้งแต่ต้นมีมากกว่า 100 แห่ง โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งตนได้เน้นย้ำตลอดว่าการนำร่องทดลองใช้หลักสูตรจะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ และห้ามไปบังคับเด็ดขาดรมว.ศึกษาธิการยังกล่าวถึงกรณีที่กลุ่ม “นักเรียนเลว” มีข้อเรียกร้องให้หยุดเรียนออนไลน์ ว่า โควิด-19 ทำให้ ศธ.ต้องปรับรูปแบบการศึกษา เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยการจัดการเรียนการสอนจะพิจารณาจากสถานการณ์แพร่ระบาดในพื้นที่ และความต้องการของนักเรียนและผู้ปกครองเป็นหลัก เพื่อให้การจัดการศึกษาเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงัก แต่อย่างไรก็ตาม ศธ.ได้ให้ความสำคัญและเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยของเด็ก เพราะเราทราบดีว่าการเรียนออนไลน์ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ดีเท่ากับการเรียนที่โรงเรียน ซึ่ง ศธ.และรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ โดยได้ประสานกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดหาวัคซีนมาให้นักเรียนทุกคน แต่กลุ่มนักเรียนถือเป็นกลุ่มที่มีความละเอียดอ่อน และต้องมีความระมัดระวัง ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องได้รับการยืนยันจาก สธ.ว่า วัคซีนตัวไหนที่มีความเหมาะสม เช่น วัคซีน Pfizer ที่จะมีการฉีดให้แก่เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป เป็นต้น.