หน้าแรกแกลเลอรี่

สปิริต & จิตวิญญาณ

บี บางปะกง

2 ส.ค. 2564 06:00 น.

พบกับความผิดหวังอีกคำรบ (จนได้) สำหรับทัพนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย ที่ยังคงไร้เหรียญรางวัลในมหกรรมโอลิมปิกเกมส์ต่อไปอย่างน่าเศร้า

ตั้งแต่ ‘เอเธนส์เกมส์ 2004’ ที่ “ซูเปอร์แมน” บุญศักดิ์ พลสนะ เคยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ชายเดี่ยว ก่อนได้อันดับ 4 มาครองเป็นต้นมา 

นักตบลูกขนไก่บ้านเราก็ไม่เคยทะลุเข้าตัดเชือกโอลิมปิกได้อีกเลย

โดยเฉพาะ “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ ที่เป็นทั้งตัวเต็งและความหวัง “หมายเลข 1” ของทีมแบดฯไทยตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา กวาดแชมป์มาแล้วแทบทุกรายการในโลก

เหลือแต่เหรียญโอลิมปิกนี่แหละ ที่เธอไม่เคยเอื้อมถึงสักที 

โตเกียวเกมส์หนนี้ก็เหมือนกัน รัชนก เข้ามาถึงรอบ 8 คนสุดท้ายได้อีกครั้ง และต้องมาเจอ ‘ไต้ จือ อิง’ เพื่อนซี้ เจ้าของตำแหน่งเบอร์ 1 โลกปัจจุบัน 

ซึ่งเธอก็เริ่มต้นได้ดี ด้วยการคว้าชัยไปก่อนในเกมแรก ก่อนจะออกอาการแผ่วปลายจนมาโดนคู่ต่อกรจากไต้หวันพลิกสถานการณ์แซงเอาชนะไปชนิดน่าเจ็บใจ 2-1 

นำ้ตาของ “น้องเมย์” หลั่งออกมาทันทีด้วยความเสียใจ เพราะเธอตั้งใจไว้สูงที่จะเข้าไปหยิบเหรียญให้ได้ 

แต่เมื่อทำไม่สำเร็จก็ต้องพยายามกันต่อไปในอีก 3 ปีข้างหน้าในโอลิมปิก 2024 ที่ปารีส ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวจะอายุ 29 ปีแล้ว ก็คงต้องเหนื่อยกันมากหน่อยถ้าจะไปถึงฝั่งฝันของตัวเองให้ได้จริงๆ 

เชื่อว่ายังไงแฟนกีฬาทั้งประเทศก็ยังคงเป็นกำลังใจให้กับเธอ รวมทั้งนักแบดมินตันไทยทุกคนอยู่เสมอล่ะครับ

พูดถึงความผิดหวังของ “น้องเมย์” ในโตเกียวเกมส์ แล้วนึกขึ้นได้ว่าเพิ่งมีดราม่าเสื้อแข่งของนักกีฬา ที่จบลงไปแล้วก่อนหน้านี้แบบ “แฮปปี้เอนดิ้ง” กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ใครจะว่ายังไงไม่รู้ แต่ผมบอกเลยว่านี่คือโชคดีมหาศาลของโอลิมปิกไทยแล้ว ที่เลือกใช้แบรนด์ “แกรนด์สปอร์ต” เป็นผู้สนับสนุนหลักมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน

ซึ่งถ้าเป็นยี่ห้ออื่น หรือถ้าเป็นแบรนด์นอกระดับหรูไฮอย่างที่หลายคนปรารถนาอยากจะเห็น ฟันธงเลยว่างานนี้ไม่จบลงง่ายๆ แบบนี้แน่ 

เผลอๆ อาจจะงานงอกยาวถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันเลยทีเดียว!! 

เพราะใครก็รู้ว่าเรื่องของ “ลิขสิทธิ์” ที่มีมูลค่ามหาศาลทางการตลาดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำเป็น ‘เล่นขายของ’ ในตลาดกีฬาระดับอินเตอร์อย่างนี้

ดังนั้นผมจึงขอยกย่องในหัวจิตหัวใจความเป็นนักเลง (พอ) ของค่าย “แกรนด์สปอร์ต” อย่างแท้จริง ที่ยึดโยงเอาประโยชน์ของ “นักกีฬาไทย” เป็นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น 

ตั้งแต่การน้อมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบทิศที่มีต่อยูนิฟอร์มชุดแข่งโอลิมปิกคราวนี้ไปในแง่ติดลบ ทั้งเชยมั่งล่ะ ไม่สมศักดิ์ศรีกับทีมชาติมั่งล่ะ หรือสวมใส่แล้วดูไม่ทะมัดทะแมงในการแข่งขันเลย และเหตุผลอีกร้อยแปดที่สรรจะขุดกันขึ้นมาเพื่อต่อว่าด่าทอกันแบบไม่ไว้หน้า

คอมเมนต์ส่วนใหญ่ที่ติติงกันอย่างมีเหตุมีผล และช่วยกันแนะนำเพื่อการปรับปรุงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคตก็ถือว่าโอเค พอรับกันได้ 

แต่กับอีกจำพวกที่สักแต่พิมพ์จวกอย่างมันมือลูกเดียว ประเภทใครด่ากูต้องด่ามั่ง ทั้งที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไรกับเขาเลย แบบนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยในสังคมโซเชียลบ้านเรา

ซึ่งประเภทหลังนี้คงไม่ต้องไปให้ค่าพวกมันหรอกครับ จะเรียกว่าเป็น “เกรียนคีย์บอร์ด” ยังดูยกย่องเกินไปซะด้วยซำ้ ความจริงต้องเรียกพวก “สวะหน้าแป้นพิมพ์” น่ะถึงจะถูก!!

จนมาถึงเคสของ “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ที่เปลี่ยนชุดเดิมจากแกรนด์สปอร์ต มาใส่เสื้อแขนกุด ไม่ปักโลโก้แบรนด์ โดยมีเพียงธงชาติไทยประดับที่อกด้านซ้ายเท่านั้น ในการลงเล่นรอบที่ผ่านมา 

โดยมาทราบภายหลังว่า เป็นการร้องของทางนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันฯ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ด้วยเกรงว่านักกีฬาจะมีอุปสรรคในการเคลื่อนไหวไม่สะดวกเหมือนที่หลายคนได้เห็นกันทางหน้าจอทีวี 

และเรื่องนี้ก็จบลงด้วยดี เพราะความใจกว้างของแบรนด์ออฟฟิเชียลบ้านเราโดยแท้ ซึ่ง “บิ๊กง้วน” ธารา พฤกษ์ชะอุ่ม บิ๊กบอสใหญ่แกรนด์สปอร์ต เปิดใจให้ผมฟังเหมือนกับที่ให้สัมภาษณ์สื่ออื่นๆ ว่า 

“ต้องยอมรับกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ โดยเฉพาะกระบวนการบางอย่างภายในบริษัทที่ประสบปัญหาพอสมควรจากวิกฤติโควิด-19 แต่นั่นก็คงไม่ใช่ข้ออ้างของพวกเรา นอกจากต้องนำบทเรียนที่เกิดขึ้นไปปรับปรุงแก้ไขตัวเองเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุดในโอกาสต่อไป”

สิ่งที่เกิดขึ้นเราคงไม่โทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในบริษัท เพราะตนมองว่าแกรนด์สปอร์ตเปรียบเหมือนทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง พอดวลจุดโทษตัดสินขึ้นมาแล้วมีคนยิงไม่เข้า จะไปโทษลูกทีมคนนั้นคนเดียวก็คงไม่ถูก เวลาแพ้มันก็ต้องแพ้กันทั้งทีมมันถึงจะถูก

กรณีของ “น้องเมย์” นั้น สมาคมแบดฯได้ประสานเข้ามาว่าต้องการเปลี่ยนชุดแข่งขัน เราพยายามผลิตและส่งกลับไปให้ทัน แต่ด้วยสถานการณ์โควิดตอนนี้ทำให้การจัดส่งไม่สะดวกจริงๆ ในที่สุดจึงต้องเลือกแก้ไขให้กับนักกีฬาอย่างที่ได้เห็นกัน โดยเรายอมทำทุกอย่างเพื่อให้นักกีฬาไทยคว้าชัยชนะให้ได้

บิ๊กง้วน บอกกับผมอีกว่า คุณเป็นสื่อที่รู้จักครอบครัวแกรนด์สปอร์ตมานานคงจะรู้ดีถึงเหตุผลในการตัดสินใจ จริงๆ ถ้ามองในแง่ธุรกิจเรื่องนี้ต้องคุยกันยาวระหว่างเราและคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ แต่ที่เราเลือกที่จะแก้ปัญหาอย่างนี้เพราะคำว่า “ไทยแลนด์” อย่างเดียวเท่านั้น

“ผมถามตัวเองว่า ถ้าคุณพ่อ (กิจ พฤกษ์ชะอุ่ม) ยังอยู่ ท่านจะตัดสินใจกับเรื่องนี้อย่างไร? ซึ่งแน่นอนพ่อผมคงจะบอกว่าจิตวิญญาณของ ‘แกรนด์สปอร์ต’ คือต้องยึดโยงผลประโยชน์ของนักกีฬาทีมชาติเป็นหลัก ซึ่งพวกเราทุกคนที่นี่ทำงานภายใต้หลักการของพ่อกิจเสมอมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

แกรนด์สปอร์ตหวังจะให้นักกีฬาประสบความสำเร็จคว้าเหรียญรางวัลให้ได้ก่อน อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง เราจึงอนุโลมให้เปลี่ยนชุดแข่งได้

ต้องขอบคุณทุกคำแนะนำรวมถึงติชมเข้ามาเพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นในอนาคต ซึ่ง ‘แกรนด์สปอร์ต’ ยืนยันว่าจะยืนหยัดเคียงข้างนักกีฬาไทย และขอเป็นกำลังใจให้ประสบความสำเร็จในทุกทัวร์นาเมนต์

สรุปว่าทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามา ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้(แน่) ถ้าทุกคนยึดมั่นใน “สปิริต” และ “จิตวิญญาณ” 

ของความเป็น “คนไทย” ด้วยกัน...อยู่ตลอดเวลา!!!

- บี บางปะกง -

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง