ไทยรัฐออนไลน์
ไขข้องสงสัยว่า นักกีฬาไทย ที่ได้เงินอัดฉีดจากการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 ต้องเสียภาษีหรือไม่ หลังมีข่าว นายสนธิญา สวัสดี ยื่นเรื่องขอให้มีการตรวจสอบ
วันที่ 4 ส.ค. 64 ความเคลื่อนไหวกรณีมีกระแสข่าวว่า นายสนธิญา สวัสดี ที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบเงินอัดฉีดที่ "น้องเทนนิส" พาณิพัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ได้รับจากการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2020 รุ่น 49 กก. หญิง ว่าสมควรที่จะถูกเรียกเก็บภาษี 7% หรือไม่ เพราะเป็นจำนวนเงินที่มากถึง 21 ล้านบาท รวมถึงนักกีฬาคนอื่นๆ ที่ได้เหรียญด้วย เรามาเปิดข้อมูลกันให้ชัดๆ ไปเลย
กรณีได้เงินอัดฉีดไม่เกิน 10 ล้านบาท
หากนักกีฬาได้รับเงินให้เปล่าจากบริษัทห้างร้าน โดยผู้ให้ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แม้เงินที่ได้รับจะทำให้นักกีฬามีฐานะที่ดีขึ้น แต่ถ้าจำนวนเงินที่ได้รับนั้นไม่เกิน 10 ล้านบาท นักกีฬาจะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องนำเงินอัดฉีดส่วนนี้มาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (มาตรา 42(28) ประมวลรัษฎากร)
กรณีได้เงินอัดฉีดเกิน 10 ล้านบาท
โดยปกติแล้ว สำหรับบุคคลทั่วไป หากได้รับเงินเกิน 10 ล้านบาท จากบริษัทห้างร้าน โดยปกติ ผู้รับจะต้องเสียถาษีการรับให้ในอัตา 5% ของส่วนที่เกินจากเงิน 10 ล้านบาท แต่ถ้าผู้รับเป็นนักกีฬา รวมถึงสตาฟโค้ช และเงินที่ได้รับเป็นเงินอัดฉีด จะได้รับการยกเว้นภาษีให้เป็นกรณีพิเศษ กล่าวือ หากนักกีฬาได้รับเงินอัดฉีดเป็นรางวัลเนื่องจากเข้าร่วมการแข่งขันรายการมหกรรมกีฬา และรายการแข่งขันกีฬาสมัครเล่นระดับนานาชาติ เช่น โอลิมปิก 2020 นักกีฬาและทีมผู้ฝึกสอนจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินอัดฉีดส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท มาเสียภาษีบุคคลเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย (ข้อ 2 (93) กฏกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)) ซึ่งวัตภุประสงค์ของนโยบายยกเว้นภาษีนี่คือ เพื่อเป็นการสนับสนุนนักกีฬาและผู้ฝึกสอนกีฬาที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาตินั่นเอง (อ้างอิง กฏกระทรวงฉบับที่ 325 (พ.ศ. 2560))
สรุป
นักกีฬาที่ได้รับเงินอัดฉีดจากบริษัทห้างร้านเพื่อเป็นรางวัลเนื่องจากเข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาสากล เช่น โอลิมปิก จะได้รับการยกเว้นไม่เสียภาษีบุคคลธรรมดาเลย
ข้อมูลอ้างอิง: กรมสรรพากร
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง