หน้าแรกแกลเลอรี่

กระทิงเขาหัก!

ไทยรัฐฉบับพิมพ์

4 ก.ค. 2561 05:01 น.

ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย กลาย เป็นทัวร์นาเมนต์ที่บรรดาทีมเต็งร่วงตกรอบระนาว ไล่มาตั้งแต่ แชมป์เก่า “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี แชมป์เก่าที่จอดป้ายตั้งแต่ไก่โห่เพียงแค่รอบแรกเท่านั้น ตามด้วย “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา ของลิโอเนล เมสซี ที่กอดคอกับ “ฝอยทอง” โปรตุเกส ของคริสเตียโน โรนัลโด ร่วงตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปในวันเดียวกัน

แล้วตอนนี้ก็มาถึงคิวของ “กระทิงดุ” สเปน ที่เป็นทีมเต็งรายล่าสุดที่ไม่ได้ไปต่อ ร่วงตกรอบแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น หลังจากที่พวกเขาพ่ายดวลจุดโทษต่อเจ้าภาพรัสเซีย หวุดหวิด 4-3 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 ที่สนามลุซนิกี สเตเดียม กรุงมอสโก เมื่อคืนที่ผ่านมา

รูปเกมตลอด 90 และ 120 นาทีนั้น เป็น “กระทิงดุ” สเปน ที่ครองบอลบุกใส่รัสเซียอยู่ข้างเดียว จนทำให้สเปนทำสถิติเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่ผ่านบอลกันมากที่สุดเกินกว่า 1,000 ครั้ง (ผ่านบอล 1,006 ครั้ง ตลอดเกม120นาที)

แต่ฟุตบอลเป็นเกมที่ตัดสินด้วยการทำประตู ต่อให้ครองบอลเยอะและผ่านบอลเป็นพันๆ ครั้ง แต่ยิงประตูไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ ฟุตบอลสมัยนี้ไม่ใช่ว่าทีมไหนครองบอลเยอะแล้วจะเป็นผู้ชนะเสมอไป

สุดท้ายแล้วสเปนก็ทำอะไรเจ้าภาพไม่ได้ เสมอกัน 1-1 ในเกม 120 นาที จึงต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ และในที่สุดฮีโร่ของเจ้าภาพก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น อิกอร์ อคินเฟเยฟ นายทวารกัปตันทีมรัสเซียนั่นเอง ที่สามารถเซฟจุดโทษของสเปนได้ถึงสองครั้งในช่วงดวลเป้า พารัสเซียทะลุเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 48 ปี นับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต

ในเกม 90 นาทีนั้น สเปน อดีตแชมป์โลก 2010 ออกสตาร์ตสวย เมื่อได้ประตูขึ้นนำเจ้าภาพไปก่อน 1-0 อย่างรวดเร็ว เพียงแค่นาทีที่ 12 เท่านั้น จากจังหวะที่ มาร์โก อเซนซิโอ เปิดฟรีคิกเข้าไปในเขตโทษ บอลไปตกโดนเท้าของ เซอร์เก อิกนาเซวิช กองหลังตัวเก๋ารัสเซีย ที่กำลังเบียดปะทะกับ เซร์คิโอ รามอส กัปตันทีมสเปน เข้าประตูตัวเองไป

แต่จากความผิดพลาดแบบเสียค่าโง่เองของ เคราร์ด ปีเก กองหลังบาร์เซโลนา ที่ดันไปยกแขนขึ้นมาขณะโหม่งบอลในเขตโทษ แล้วบอลก็มาโดนแขนตัวเอง เลยกลายเป็นแฮนด์บอล ทำให้รัสเซียได้ลูกจุดโทษ ก่อนที่ อาร์เต็ม ซูบา จะสังหารเข้าไปไม่พลาด ให้เจ้าภาพตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 41

หลังจากนั้น แม้สเปนจะครองบอลบุกมากกว่า แต่ก็ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ จบ 90 นาที ทั้งคู่เสมอกัน 1-1 ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที อย่างไรก็ตาม เกมช่วงต่อเวลาพิเศษก็ยังเป็นไปในรูปเดิม คือ สเปนบุกเข้าใส่อยู่ข้างเดียว แต่ก็ไม่สามารถเจาะพื้นที่สุดท้ายของเจ้าภาพเข้าไปทำประตูได้ จบ 120 นาที สกอร์ยังเท่าเดิมเสมอกัน 1-1 ทำให้ต้องดวลจุดโทษตัดสินหาผู้ชนะ

ซึ่งผลดวลเป้าปรากฏว่า รัสเซียยิงแม่นกว่า เป็นฝ่ายเอาชนะสเปน ในการดวลจุดโทษ 4-3 ท่ามกลางการดีใจสุดขีดของบรรดากองเชียร์เจ้าภาพที่แห่กันเข้ามาให้กำลังใจทีมรักแน่นขนัดกว่า 7 หมื่นชีวิตในสนามลุซนิกี สเตเดียม

โดยในการดวลจุดโทษนั้น อิกอร์ อคินเฟเยฟ นายทวารมือกาวของรัสเซีย โชว์ฟอร์มป้องกันประตูสุดยอด ด้วยการเซฟจุดโทษของสเปนได้ถึงสองลูก จาก โกเก และ ยาโก อัสปาส ซึ่งเป็นมือปืนคนที่ 3 และคนที่ 5 ของทีมกระทิงดุ ขณะที่ ดาวิด เด เคอา ผู้รักษาประตูสเปน ผิดฟอร์ม ไม่สามารถเซฟจุดโทษของนักเตะรัสเซียได้เลย

หลังจบเกม เซร์คิโอ รามอส กัปตันทีมชาติสเปน ถึงกับลงไปนั่งร้องไห้อยู่กลางสนาม ขณะที่นักเตะทีมกระทิงดุคนอื่นๆ ต่างก็เสียใจและผิดหวังเช่นเดียวกัน ที่สเปนต้องมาตกรอบบอลโลก 2018 อย่างรวดเร็วเพียงแค่รอบ 2 เท่านั้น

จะว่าไปแล้วผมคิดว่าเป็นความผิดพลาดเต็มๆของ เฟอร์นันโด เอียร์โร กุนซือขัดตาทัพของสเปน ที่จัดตัวคนยิงจุดโทษไม่ได้เรื่อง เพราะแทนที่จะเก็บตัวยิงจุดโทษมือฉมังอย่าง ดีเอโก คอสตา, ดาวิด ซิลบา และมาร์โก อเซนซิโอ เอาไว้จนถึงช่วงดวลจุดโทษ แต่ทั้งหมดกลับถูกเปลี่ยนตัวออกทั้งที่ไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวน ในเกม 90 และ 120 นาที

หาก 5 มือปืนยิงจุดโทษของสเปนเป็น อิเนียสตา, ซิลบา, คอสตา, อิสโก และรามอส ผมเชื่อว่าทีมกระทิงดุน่าจะเป็นฝ่ายเอาชนะรัสเซียในการดวลจุดโทษได้ แต่นี่เป็นโกเกกับอัสปาส ผลมันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้

นอกจากนี้ ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนตัวกุนซือแบบกะทันหันก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มต้นขึ้นเพียงไม่กี่วัน ส่งผลกระทบต่อทีมชาติสเปนอย่างแน่นอน เพราะ เฟอร์นันโด เอียร์โร ผู้มารับเผือกร้อนคุมทีมต่อจาก ฮูเลน โลเปเตกี ที่โดนปลดแบบฟ้าผ่าเนื่องจากดันมาเปิดตัวคุมทีมเรอัล มาดริด แบบไม่รู้กาละเทศะ มีระยะเวลาเตรียมทีมสั้นมาก แถมประสบการณ์คุมทีมของเขาก็น้อยมากๆอีกด้วย

เชื่อว่าต่อจากนี้ไปทีมชาติสเปนต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เพื่อกลับมาไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้งในศึกยูโร 2020 ในอีกสองปีข้างหน้า

ส่วนเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายคู่ที่ 2 วันเดียวกัน ซึ่งจบลงด้วยการที่ “ตาหมากรุก” โครเอเชีย เฉือนชนะ “โคนม” เดนมาร์ก หวุดหวิดในการดวลจุดโทษ 3-2 ทำให้โครเอเชียผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับเจ้าภาพรัสเซียต่อไป

เกมนี้ทั้ง แคสเปอร์ ชไมเคิล นายทวารเดนมาร์ก และ ดานิเยล ซูบาชิช ผู้รักษาประตูโครเอเชีย ต่างโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม เซฟถึง 3 จุดโทษในนัดเดียว

แต่แคสเปอร์เซฟจุดโทษในช่วงดวลเป้า 2 ครั้ง โดยอีกครั้งเป็นการเซฟจุดโทษของ ลูกา โมดริช ทำให้เดนมาร์กไม่แพ้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ขณะที่ ซูบาชิช เป็นการเซฟจุดโทษ 3 ครั้งล้วนๆ ในช่วงดวลเป้า ก่อนช่วยให้ “ตาหมากรุก” โครเอเชียคว้าชัยในการดวลจุดโทษ 3-2

งานนี้ “ยักษ์เดนส์” ปีเตอร์ ชไมเคิล ตำนานนายทวาร “ผีแดง” แมนฯยู ลุ้นลูกชาย “แคสเปอร์” ตัวโก่ง จนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว.

หมวดแซม