หน้าแรกแกลเลอรี่

หมีฉลุย-ซามูไรเจ๋ง

ไทยรัฐฉบับพิมพ์

22 มิ.ย. 2561 05:01 น.

“ซามูไร” ทีมชาติญี่ปุ่น อีกหนึ่งตัวแทนจากทวีปเอเชีย ประเดิมสนามฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ได้อย่างสวยหรู ด้วยการเฉือนชนะโคลอมเบีย ทีมแกร่งจากอเมริกาใต้ ที่เหลือ 10 คนตั้งแต่ต้นเกม 2–1 ในเกมรอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก กลุ่มเอช เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกจากเอเชียที่เอาชนะทีมจากอเมริกาใต้ได้ในฟุตบอลโลก

ยูยะ โอซาโกะ ศูนย์หน้าวัย 28 ปี จากทีม “แพะบ้า ”เอฟซี โคโลญ กลายเป็นฮีโร่ของชนชาวอาทิตย์อุทัยเพียงชั่วข้ามคืน หลังเป็นคนโขกประตูชัยช่วยให้ “ซามูไร” ญี่ปุ่น เฉือนเอาชนะโคลอมเบียไปได้แบบสนุก 2-1 ประเดิมคว้าสามคะแนนเต็มได้สำเร็จ

เกมนี้ คาร์ลอส ซานเชซ มิดฟิลด์โคลอมเบีย สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะที่ถูกไล่ออกจากสนามเร็วที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับ 2 ในศึกฟุตบอลโลก ด้วยเวลา 2 นาที กับอีก 56 วินาที หลังเจตนาทำแฮนด์บอล ยกแขนบล็อกลูกยิงของชินจิ คากาวะ เพลย์เมกเกอร์ญี่ปุ่น ในเขตโทษ

แต่สถิติโดนใบแดงไล่ออกจากสนามเร็วที่สุดตลอดกาลในบอลโลกยังคงเป็นของโฮเซ อัลแบร์โต บาติสตา ของอุรุกวัย ในเกมพบกับสกอตแลนด์ ศึกเวิลด์คัพ ปี 1986 ที่เม็กซิโก ด้วยเวลาเพียง 54 วินาทีเท่านั้น

ชัยชนะเหนือหนึ่งในทีมเต็งแชมป์อย่างโคลอมเบียนัดนี้ ทำให้ “ซามูไร” ญี่ปุ่น มีลุ้นเข้ารอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขาเลยทีเดียว

ลองมาดูเก็บตกสถิติที่น่าสนใจในเกมนี้ มีอะไรบ้างไปดูกันเลยครับ

-ญี่ปุ่นเป็นทีมแรกจากเอเชียที่เอาชนะทีมจากอเมริกาใต้ในฟุตบอลโลก หลังก่อนหน้านี้ทีมจากเอเชียไม่เคยเอาชนะทีมจากอเมริกาใต้ได้เลย โดยแพ้ไปถึง 14 ครั้ง และเสมอ 3 ครั้ง

-เออิจิ คาวาชิมะ นายทวารทีมชาติญี่ปุ่น กลายเป็นนักเตะอายุมากที่สุดของญี่ปุ่นที่ลงเล่นในฟุตบอลโลก ด้วยวัย 35 ปี กับอีก 91 วัน

-เคซึเกะ ฮอนดะ เป็นนักเตะเอเชียคนแรกที่ทำแอสซิสต์ในฟุตบอลโลก 3 สมัย นับตั้งแต่ปี 1966

-นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก ปี 1974 ที่ 4 ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ ไม่สามารถคว้าชัยชนะในเกมเปิดฉากนัดแรกฟุตบอลโลกของพวกเขาได้

-ฮวน ควินเตโร เป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลก 2 สมัยให้กับโคลอมเบีย (2014 และ 2018)

-คาร์ลอส ซานเชซ มิดฟิลด์โคลอมเบีย กลายเป็นนักเตะคนแรกที่โดนใบแดงไล่ออกจากสนามในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย และเขายังเป็นผู้เล่นที่ถูกไล่ออกเร็วที่สุดเป็นอันดับ 2 ในฟุตบอลโลก ด้วยเวลา 2 นาที 56 วินาที แต่สถิติเร็วที่สุดยังเป็นของ โฮเซ อัลแบร์โต บาติสตา ของอุรุกวัย ด้วยเวลาแค่ 54 วินาที ในปี 1986

สำหรับกลุ่มเอช ยังมองไม่ออกว่าทีมใดจะผ่านเข้ารอบ เพราะทั้งสี่ทีมยังมีโอกาสพอๆกัน แม้ว่าโคลอมเบียและโปแลนด์จะพลาดท่าแพ้ในนัดแรกก็ตาม แต่ตอนนี้ญี่ปุ่นและเซเนกัลดูจะมีภาษีดีกว่าโคลอมเบียกับโปแลนด์

ขณะที่ เจ้าภาพ “หมีขาว” รัสเซีย ฉลุยเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นชาติแรกแล้ว หลังถล่มเอาชนะ “มัมมี่” อียิปต์ ที่มีโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวดังจากลิเวอร์พูล เป็นดาราชูโรง ขาดลอย 3-1 ทำให้รัสเซียเก็บชัย 2 นัดรวด มี 6 คะแนนเต็ม นำจ่าฝูงกลุ่มเอ

แม้ว่าเกมนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งซัดไป 44 ประตูให้กับลิเวอร์พูลเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา จะหายเจ็บกลับมาเป็นตัวจริงและยิงได้ 1 ประตู (จุดโทษ) แต่ก็ไม่สามารถเป็น “เดอะแบก ”ที่ช่วยให้ “มัมมี่” อียิปต์ รอดพ้นจากความปราชัยไปได้ และทำให้ทีมจากดินแดนปิระมิดแพ้สองเกมรวด โอกาสตกรอบสูงลิ่ว

เกมนี้รัสเซียรัวสามประตูรวดนำห่างก่อน 3-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของอาเหม็ด ฟาธี ในนาที 47 ต่อด้วยการยิงของเดนิส เชอริเชฟ นาที 59 เป็นประตูที่ 3 ของเขาในทัวร์นาเมนต์นี้ และอาร์เตม ซูบา นาที 62 ส่วนอียิปต์มาตีไข่แตกจากลูกยิงจุดโทษของซาลาห์ นาที 73 โดยจังหวะนี้ผู้ตัดสินขอดูวีเออาร์ ก่อนเปลี่ยนจากฟรีคิกมาให้จุดโทษกับทีมมัมมี่

รัสเซียจะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ และอียิปต์จะตกรอบเป็นที่แน่นอน หากซาอุดีอาระเบียไม่สามารถเอาชนะ “จอมโหด” อุรุกวัยได้

ขณะเดียวกัน “มัมมี่” อียิปต์ ยังคงมีความหวังเข้ารอบ หากพวกเขาเอาชนะซาอุดีอาระเบีย แถมต้องแช่งให้อุรุกวัยแพ้ทั้งซาอุฯและเจ้าภาพรัสเซีย

ฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น.

หมวดแซม